อ่างทอง – ใครว่ามีแต่วัด? เราจะพามาสำรวจสถานที่เที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่แห่งใหม่ไม่ควรพลาดกับทริปหนึ่งวันเก๋ๆ ณ ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทองและฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ จะสายเกษตร
ฮิปสเตอร์ สายไหนก็มาได้ เรียนรู้เน้นสนุกแบบชิคๆ ขอสปอยลล์ก่อนเลยว่า ประทับใจ!
การเดินทาง:
เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆจากกรุงเทพฯในการมาถึงศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทองและโครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ เป็นสองชั่วโมงที่ผ่านไปเร็วมากเพราะเราหลับไปแทบตลอดทั้งทาง 555 คนขับ ขับนิ่มมากเรานอนเพลินเลย โดยเรามาด้วยรถตู้ของศูนย์ศิลปาชีพที่มีบริการรับส่งได้ จากกรุงเทพฯ-ศูนย์ได้ ด้วยราคาค่ารถ 250 บาท ส่วนใครอยากจะขับรถมาเยี่ยมชมเอง สามารถมาได้เช่นกันตั้งอยู่ที่อำเภอแสวงหา ห่างจากตัวเมืองอ่างทองประมาณ 40 กิโลเมตร
Tips: สามารถติดต่อรถตู้ทางศูนย์ศิลปาชีพได้ในราคาค่ารถไปกลับ 250 บาท เริ่มจากขึ้นรถที่สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ โดยเริ่มเดินทางจากกรุงเทพฯเวลา 7.30 และกลับถึงในเวลาประมาณ 17.30

Tips: สามารถติดต่อรถตู้ทางศูนย์ศิลปาชีพได้ในราคาค่ารถไปกลับ 250 บาท เริ่มจากขึ้นรถที่สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ โดยเริ่มเดินทางจากกรุงเทพฯเวลา 7.30 และกลับถึงในเวลาประมาณ 17.30
เล่าคร่าวๆ ให้ฟังกันก่อนว่าที่นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ศูนย์ศิลปาชีพแห่งนี้มีต้นกำเนิดจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี พ.ศ. 2549 ทำให้ราษฎรเดือดร้อนไม่สามารถกลับไปประกอบอาชีพในที่ดินได้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถจึงทรงก่อตั้งที่นี่ขึ้น เพื่อให้ราษฎรได้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทองและโครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านยางกลางอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นที่ๆ สามารถมาเรียนรู้งานด้านหัตถกรรมและการเกษตรตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ได้อย่างดี
ถึงกันแล้วว วันนี้เราได้รับเชิญให้มาชมในวันนี้ ซึ่งเราตื่นเต้นมากๆ เราลงรถโดยมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับเราเป็นอย่างดี และมีรถรางชมศูนย์ศิลปาชีพมารอรับพวกเราเพื่อเริ่มทริปวันนี้กัน!
เราเข้าไปนั่งในรถราง คุณลุงคนขับเอนเตอร์เทนเราอย่างดีและให้ความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับพวกเราระหว่างการชมสองข้างทาง ที่นี่มีแปลงเกษตรถึง 1,000 ไร่ รอบๆมีการปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นต้นมะม่วงเบา ต้นไผ่ ต้นใบหม่อนและอีกมากมาย ทั้งยังมีแปลงผักสลัดและผักอื่นๆสำหรับการนำจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนอีกด้วย
อีกสิ่งที่เจ๋งมากตอนเราแลนรถผ่านนาข้าวคือ มันหอมมาก!! แบบกลิ่นเตะจมูกเลย คิดดูว่าถ้าหุงออกมาจะขนาดไหน มีขายตอนขากลับด้วยนะทั้งข้าวหอมมะลิและข้าวไรซ์เบอรรี่


โดยในสถานีแรก เราได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับความเป็นมาของสถานที่และสิ่งที่เราจะได้เจอในวันนี้กันก่อน โดยมีน้ำสมุนไพรต้อนรับเป็นอย่างดี จะบอกว่าน้ำใบเตยดีมากกกขึ้นรถรางไปอีกแป็ปเดียว เราจะได้เจอกับ สถานีน้องแพะ! เลยได้ลงไปทักทายกันซะหน่อย โดยให้หญ้าพันธุ์แพงโกล่าแก่เจ้าแพะเหล่านี้ เราได้ทานนมแพะของที่นี่ด้วยแหละ อร่อยมากและไม่คาวเลย อยากให้ลอง
สถานีที่สาม เรามาต่อที่สถานีทำปุ๋ยมูลไส้เดือนและปลูกผัก เดินเข้าไปเจอฟักทองและฟักห้อยใหญ่มาก ดูอุดมสมบูรณ์สุดๆ เค้าบอกกันว่าฟักทองที่นี่อร่อยมาก ควรซื้อกลับบ้าน แต่วันนี้อดจ้าเพราะไม่มีขาย T_T
ก่อนที่จะได้ทำกิจกรรม เราก็ได้เจอกับเหล่ากบ ตัวใหญ่มากกกก เป็นกบเลี้ยงที่เรียกว่ากบเนื้อ พี่เจ้าหน้าที่สอนวิธีจับกบให้ดู ซึ่งเราก็สามารถจับได้เหมือนกันนะ
กบตัวเมียจะตัวใหญ่กว่าตัวผู้ จะถูกจับแยกอยู่คนละบ่อ ไปแตะตัวน้องกบตัวก็ลื่นๆเมือกๆนิดนึง แต่น่ารักดีนะ 5555

นอกจากนั้นยังมีส่วนที่นำดอกไม้และผลมา ทำเป็นสีระบายได้ด้วย น่ารักมากก โดยใช้ของธรรมชาติแทนตัวสแตมป์และลองปั๊มลงกระดาษ มีทั้งดอกอัญชัน ฟักข้าว มะเขือ มัลเบอรี่ มาใช้ในการละเลงสีอีกด้วย


หลังจากจบการสาธิตเรื่องปุ๋ย ก็ถึงเวลาสนุก นั่นก็คือสถานีแห่งการเก็บผัก!! เจ้าหน้าที่จะมาเราไปที่แปลงผัก ซึ่งปลูกเรียงรายอยู่ สามารถซื้อกลับบ้านได้เลยตามใจชอบ เราจะได้รับตะกร้าคนละอันเพื่อใส่ผักที่เราต้องการ นอกจากผักสลัดปลอดสารพิษก็จะมีผักชี มะเขือเทศและอื่นๆอีกด้วย ขนาดดอกอัญชันยังเอากลับได้เลย เอาไปสระผมได้ อิอิ


หลังจากเราหยิบจนหนำใจ นำตะกร้าไว้ให้เจ้าหน้าที่ได้ชั่งและเตรียมแพคกลับบ้านให้ โดยจะเตรียมไว้ให้ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เราจะได้ไม่ต้องถือเดินไปมา สายออแกนิคและสายกินผักไม่ควรพลาดมากเพราะผักที่นี่ ขีดละ 10 บาทเท่านั้นน!
ต่อมาเราไปต่อกับสถานีเห็ด โดยได้เข้าไปดูวิธีเพาะเห็ดกันก่อน ว่ามีวิธีการคร่าวๆอย่างไรบ้าง โดยมีการใช้หัวเชื้อเพื่อทำให้เห็ดสามารถโตได้และมีการฆ่าเชื้อก่อนอีกด้วย จากนั้นก็จะเอาไปไว้นี้ห้องนี้จ้า กระท่อมน้อยของเหล่าเห็ด

เห็ดที่เราอยากจะนำเสนอมากคือเห็ดนางนวล เพราะสีสวยงามเว่อ เป็นเห็ดสีส้มโอรส เหมือนดอกไม้เลย แนะนำให้เอาไปทอดเป็นวิธีกินที่อร่อยสุด และยังได้เก็บเห็ดอีกสองสายพันธุ์ไว้ด้วย จากนั้นเอาไปชั่งก็ได้เห็ดกลับบ้านสมใจละจ้า เห็ดราคาขีดละ 10 บาทเช่นกัน

อีกกิจกรรมสนุกๆคือการทำนาโยน เป็นธรรมเนียมของการทำนา ง่ายมากๆแต่เราจับต้นข้าวที่เตรียมจะนำมาปลูก โยนขึ้นฟ้าให้ลงไปในนาที่เตรียมไว้ จากนั้นต้นข้าวก็จะสามารถขึ้นได้ตามที่ๆเราโยนไว้ แถมเวลาตกก็ยังสามารถตั้งขึ้นได้ด้วยตัวเองด้วยนะ โยนกันสนุกเลย
และแล้วถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย เพราะนี่คือเวลาของมื้อเที่ยงแสนอร่อย! ลงมาจากรถราง สิ่งที่เราเจอคือปิ่นโตสีเหลือง และน้ำสมุนไพรรวมถึงนมแพะจากเหล่าน้องแพะที่เราเจอมาเมื่อเช้า
หลังจากที่หยิบปิ่นโตไปที่โต๊ะฟางจิ๋วของตัวเอง เปิดปิ่นโตออกมา มีอาหารมากมาย อาทิ เช่น ลาบไก่ ข้าวเหนียวไรซ์เบอร์รี่ห่อใบเตย คอหมูย่าง (น้ำจิ้มแจ่วอร่อยมาก)
นอกเหนือจากนั้น ยังมีโซนของกินเล่นอื่นๆอีก ทั้ง เห็ดปิ้ง เห็ดและดอกอัญชันทอด ปอเปี๊ยะสดและผัดสลัดสดๆให้ทานกับเต็มที่ เป็นมื้อที่เอนจอยมาก
ของหวานมีไอศกรีมที่ทำสดๆ เราลองทานข้าวโพดเข้าไป แบบมันเป็นข้าวโพดจริงๆ 5555 หลังจากทานข้าวอิ่ม นั่งเม้ามอยซักพัก เราก็ถึงเวลาไปทำกิจกรรมต่อไปแล้วว
เราไปทำโปรแกรมชิวๆกันคือการชมเรือนกล้วยไม้ กล้วยไม้ที่นี่สวยมากกและมีหลากสีสัน ที่เห็นอยู่ที่ก็สามารถบอกเจ้าหน้าที่และให้เค้าช่วยตัดดอกกล้วยไม้ออกมาได้เช่นกัน ในราคาย่อมเยามากๆ แค่ 10-20 บาทต่อต้น ตามขนาด ดอกกล้วยไม้เป็นต้นไม้ที่ดูแลค่อนข้างยาก ไม่สามารถอยู่ในที่โล่งแจ้งได้แต่ก็ต้องมีแดดที่เพียงพอเช่นเดียวกัน กล้วยไม้จึงต้องมีเรือนที่คอยช่วยกันแสงอาทิตย์ไม่ให้โดนเต็มๆ ด้วย ในนี้หาที่ถ่ายรูปสวยๆได้เต็มเลยแหละ
บ่ายนี้ เราไปเริ่มกิจกรรมแรกกับการทำกระดาษข่อย ซึ่งที่นี่คือโรงงานผลิตกระดาษข่อยที่เดียวในประเทศไทยอีกด้วย! กระดาษข่อยมีประโยชน์ด้วยความที่มีไวหนา สามารถเก็บได้เป็นร้อยปีเลยนะ! จึงเป็นกระดาษที่นำมาใช้ในการเขียนพระไตรปิฎกหรือการทำหน้าโขนต่างๆทำหรับการรำหรือการแสดง เช่น รามเกียรติ์ แต่ขั้นตอนมันมีความซับซ้อนมากๆ ตั้งแต่การขูดเอาเยื่อออกมา ขูดออกมาอีกทีให้เป็นเส้น การเอาไปตากแดด จนเอาไปต้มอีกเป็นอาทิตย์จนกลายเป็นเยื่อบางๆ ใส่พิมและตากต่อไปอีก และกลายเป็นกระดาษข่อย แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น หลังจากนั้นก็ต้องนำไปขัดก่อนนาจา ด้วยเปลือกหอยตามรูป เบ็ดเสร็จแล้ว การจะทำกระดาษข่อย 1 แผ่น ใช้เวลาไปเป็นเดือน รู้สึกยกย่องคนทำมาก
นี่คือผลงานที่เกิดจากกระดาษข่อยที่เราได้เห็นกันในวันนี้ ทั้งพระไตรปิฎกและการทำหน้ารามเกียรติ์ ทั้งยังนำไปใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่ผ่านมาอีกด้วย
ต่อมา เราไปดูการทำหัตถกรรมต่อ เป็นผ้าซึ่งตัดเย็บเพื่อใช้ในการแสดงรามเกียรติ์ ซึ่งเมื่อใช้ไปแล้ว จะไม่นำมาใช้อีก แต่คือรายละเอียดของผ้ามีเยอะและใช้เวลาทำนานมากก เรียกกันว่าโรงทอผ้ายก เน้นการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ

ต่อมาเราก็ย้ายมากันที่แผนกปักผ้า ซึ่งเป็นแผนกที่ทำส่วนประกอบของชุดรามเกียรติ์ จากผ้ายกที่เราเห็น ทุกอย่างละเอียดมากก ส่วนใหญ่ชิ้นนึงจะให้เวลาทำประมาณ 3 เดือนเลยทีเดียวเนื่องจากลวดลายและความปราณีตที่ต้องใส่เข้าไปในงานด้วย
กิจกรรมต่อไป เราไปเยี่ยมชมโรงเซรามิคและทำกิจกรรมเพนท์เซรามิคกันน ซึ่งที่นี่มีโรงงานเซรามิคที่ใหญ่โตเลยทีเดียว มีเจ้าหน้าที่สาธิตการทำเซรามิคทั้งแบบจากมือและจากเครื่อง ซึ่งจะเห็นได้ถึงความยากในการหล่อเซรามิคขึ้นมา จากนั้นเราก็ได้ไปเดินดูโรงงานซึ่งมีเครื่องทำเซรามิคเพื่อส่งขายตามที่ต่างๆ
หลังจากชมเสร็จแล้วเราก็ได้ทำการละเลง เอ้ยย ระบายสีเซรามิคที่เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากจะระบายตัวตุ๊กตา จาน หรือถ้วยชา ซึ่งเราเลยเลือกถ้วยชาเพราะน่าจะได้ใช้มากสุด กับราคารวมสีรวมถ้วยและจานรอง ทั้งยังรวมค่าจัดส่งไปถึงที่บ้านด้วย เพราะหลังจากระบายเสร็จต้องนำไปเคลือบสีต่อ เราเลยลองระบายได้ออกมาเป็นประมาณนี้ แอบระบายยากเลยแหละ ต้องใช้ฝีมือมั่ก!
ก่อนจะจบโปรแกรมของเราในวันนี้ หนึ่งในกิจกรรมที่ทุกคนน่าจะชอบที่สุดคือการช้อปปิ้งง จะมีที่เล็กๆที่เอาไว้ขายของ อย่างเช่นผักบุ้งมะระ รวมไปถึงผลไม้เช่น เมลอน ซึ่งอยากแนะนำให้ซื้อเพราะอร่อยมากๆและถูกมาก ราคาลูกละ 90-110 บาทเท่านั้น
Tips: ใครอยากอุดหนุนสินค้าของสด เช่นผัก ผลไม้ เห็ดและอื่นๆ สามารถหาซื้อได้ที่ อตก. ได้เหมือนกัน แนะนำวันพฤหัสเพราะว่าจะเป็นวันที่นำของเข้า ทำให้ของสดที่สุด โดยสินค้าจะมีผลัดเปลี่ยนกันไปบ้างตามฤดูกาลเช่นกัน
จบวันแล้วกับทุกกิจกรรม สำหรับเราวันนี้ เป็นวันที่เราสนุกและได้ความรู้มามากมายทั้งเรื่องเกษตรและหัตถกรรมต่างๆ รู้สึกเพลิดเพลินทั้งวันที่ศูนย์ศิลปาชีพมาก เจ้าหน้าที่ดูแลและพยายามให้ความรู้เราอย่างดี รู้สึกได้ถึงความเป็นกันเองและความตั้งใจที่จะนำเราชมศูนย์ศิลปาชีพแห่งนี้ ถือเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรแนวใหม่ที่คนไทยและชาวต่างชาติควรได้มาสัมผัสซักครั้ง แล้วจะรู้ว่ามันสนุกกว่าที่คิดมากก
ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทองและฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ
ที่อยู่:หมู่ 3 ตำบลสีบัวทอง อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง
พิกัด: 14.771182, 100.223758
Facebook: https://www.facebook.com/sibuathongth
รายละเอียดกิจกรรม One Day Trip
ตั้งแต่เวลา: 9.00-16.00
ราคา: ผู้ใหญ่ 799 บาท/ท่าน
เด็กอายุ 3-12 ปี 599 บาท/ท่าน
เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ฟรี
ค่าใช้จ่ายจะรวม: อาหารกลางวันจากฟาร์ม สามารถกินได้ไม่อั้น
กิจกรรมทั้งหมด โดยกิจกรรมจะแตกต่างไปตามฤดูกาล
ค่าใช้จ่ายไม่รวม: ค่ารถไป-กลับกรุงเทพ-อ่างทอง (กรณีต้องการรถรับส่ง)
ค่าเก็บผัก เห็ด เซรามิคและช้อปปิ้งต่างๆ
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่: 083-929-4344 หรือ 083-253-7787
หมายเหตุ: ตอนนี้ทางศูนย์ศิลปาชีพยังไม่มีรับ walk-in ถ้าใครสนใจเข้ามาทำโปรแกรม One Day Trip หรือโปรแกรมอื่นๆเพิ่มเติมรบกวนติดต่อจองล่วงหน้าได้ที่เบอร์ข้างบนได้เลย ยกเว้นกรณีเข้าเยี่ยมชมเพื่อซื้อพันธุ์ไม้สามารถ walk-inได้ค่ะ