India Episode 3: Leh Ladakh รักหมดใจ
มาถึง Episode สุดท้ายสำหรับการเที่ยวอินเดียของเราที่ เลห์ ลาดักห์!!!
สามารถกลับไปเข้าอ่านทริปอินเดียอีก 2 EP ก่อนหน้ากันได้ตามลิ้งค์นี้เลยจ้า
Episode 1: Jaisaimer – Exclusive Desert Place >> https://shortywander.wordpress.com/2019/02/18/jaisalmer-your-exclusive-desert-safari/
Episode 2: JAIPUR In A Glimpse – ไจปูร์ ไม่ได้มีแค่สีชมพู>> https://shortywander.wordpress.com/2019/04/21/ep-2-jaipur-in-a-glimpse-ไจปูร์-ไม่ได้มีแค่สี/
หลังจากได้ไปลุยขี่อูฐ นอนกลางทะเลทราย ชมเมืองสีชมพูกันไปแล้ว คราวนี้เราจะมารีวิวไปยาวๆกับการไปเที่ยวแคว้นลาดักห์ สถานที่ที่เราตั้งใจจะมาและประทับใจสุดขีดคลั่ง นอกจากราคาจะดีกับเงินในกระเป๋าแล้ว ภูมิประเทศยังสวยเป็นอาหารตาสุดๆ!
** ขอเล่าอัพเดทเรื่องลาดักนิดหน่อยละกัน แคว้นลาดักเคยเป็นเหมือนสมรภูมิรบระหว่างอินเดียกับปากีสถานเลยก็ว่าได้ ซึ่งสงครามเกิดขึ้นมากมาย จนถึงตอนนี้ล่าสุดก็ยังมีเรื่องคุกกรุ่นทางการเมืองและข้อพิพาทระหว่างประเทศอยู่ เพราะฉะนั้น ใครจะมาเที่ยวช่วงนี้ก็ระวังหมั่นเช็คข่าวกันด้วยเด้อ เพราะล่าสุดเกิดข้อพิพาทใหญ่ระหว่างอินเดีย ปากีสถานและจีนซึ่งกระทบที่ลาดักโดยตรง
เล่าคร่าวๆถึงการเตรียมตัวเข้าเลห์ ลาดักกันก่อนน เนื่องจากอากาศที่มีแรงดันต่ำ อ๊อกซิเจนน้อย จึงจำเป็นมากที่ต้องกินยา Diamox ไปก่อนเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเกิดอาการอะไรขึ้นหรือไม่
การเตรียมตัว
หลักๆ ที่เราอยากจะพูดถึงเกี่ยวกับการเตรียมตัวคือการกินยาปรับระดับความสูง ว่าด้วยเรื่องของยา Diamox สิ่งที่สำคัญที่สุดในการมาเที่ยวเลห์ ลาดักห์ ได้โปรด remark ไว้แรงๆ เพราะเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าสำคัญอันดับท๊อป แนะนำให้ทุกคนกินยาปรับระดับความสูง ชื่อ Diamoxไว้ก่อน ซึ่งก็ไม่ได้เจอที่ร้านขายยาทั่วไปได้ด้วย แนะนำให้ไปซื้อแถวโรงพยาบาลจุฬาฯมีขายแน่นอน เน้นว่าทุกคนต้องกินก่อนขึ้นไปนะคะ การแพ้ความสูง AMS (Acute Mountain Sickness) อันตรายถึงชีวิตได้เพราะไม่มีใครรู้ว่าเราจะแพ้ความสูงรึเปล่า
วิธีกินยา ถ้าเราซื้อมาแบบ 125 mg ให้กิน 1 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง ก่อนขึ้นภูเขาสูงประมาณ 2 วันเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ตอนไปเลห์เราก็จะค่อยๆปรับที่เที่ยวจากต่ำไปสูงเหมือนกัน ถ้ายาที่ซื้อมาขนาด 250 mg ก็ให้กินครึ่งเม็ดแทน ใครแพ้ยา Sulfa ห้ามกินนะคะ อันตรายค่ะ
ค่าใช้จ่าย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เลห์ลาดัก เนื่องจากเราเพิ่มเส้นทาง Turtuk Village ซึ่งปกติคนไม่ได้ไปกัน ราคาเลยสูงขึ้นมาหน่อย ทั้งทริปตกอยู่ประมาณคนละ 9,500 บาท 5 วัน 4 คืน ไม่รวมตั๋วเครื่องบินและไม่รวมซื้อของส่วนตัว เครื่องบินไปกลับเลห์จะอยู่ประมาณ 10,000 บาท จากเดลีไปเลห์ และเลห์กลับกรุงเทพ
เลห์ไปช่วงไหนดี?
จริงๆสามารถเที่ยวได้ทุกฤดูเพราะสวยหมดแต่ช่วงที่พีคจริงๆคือช่วงเดือน มิถุนายน-สิงหาคมซึ่งเป็นฤดูร้อนเป็นช่วงที่มีคนมาเที่ยวเยอะที่สุด เพราะอากาศกำลังดี ท้องฟ้าสดใส แต่แม่น้ำอาจจะสีขุ่นเพราะหิมะละลาย หน้าหนาวก็สวยไปอีกแบบแต่อาจจะมีจำกัดการเดินทางเนื่องจากหิมะหรือทางลื่นเกินไป ก็อาจจะทำให้เที่ยวได้น้อยลง เป็นช่วงเดือน พฤศจิกายน-มีนาคม
เที่ยวบินไปเลห์
การบินไปเลห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ มีไฟลท์ขึ้นเครื่องได้หลักๆคือที่เดลี และเมืองใหญ่อื่นๆในอินเดีย แต่เดลีจะมีเที่ยวบินให้เลือกเยอะที่สุด โดยเราทำการนั่งรถไฟจากไจปูร์มาที่เดลีในตอนเช้า และนั่งแท็กซี่ไปต่อที่สนามบินเดลี ซึ่งมีความใหญ่โตมโหฬารมาก ประมาณว่าถ้าไปผิด Terminal ตกเครื่องแน่นอน.. แนะนำให้เผื่อเวลาในการเดินทางมาสนามบินประมาณสามชั่วโมงถ้าไม่ได้ออกมาในช่วงเช้า เพราะจราจรที่เดลีอาจจะแย่ยิ่งกว่าบ้านเราด้วยซ้ำ
เริ่มการเดินทาง..
ตื่นเต้นตั้งแต่มาถึงเดลี
หลังจากที่นอนรถไฟนอนจากไจปูร์อย่างสบายใจ นอนชิวๆรอรถไฟเรียกเพื่อที่จะไปขึ้นเครื่องบินในตอนเช้า เดินออกจากชานชาลาอย่างสวยๆเหมือนคนที่เตรียมตัวมาดีแล้ว แต่ความคาดหวังมันมักจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป ณ เวลา ตีห้าสี่สิบห้านาที มันคือความตื่นเต้นขั้นสุดเพราะเราตื่นมาพอดีกับที่ถึงสถานีเดลี โดยไม่มีประกาศใดๆเป็นการเตือนล่วงหน้า! โชคยังช่วยที่เพื่อนเราตื่นมาเข้าห้องน้ำพอดี และเห็นป้ายเดลีกำลังใกล้เข้ามา โอโหหห ลุกเลยจ้าา! เพื่อนรีบตะโกนไล่ปลุกทุกคนให้ตื่นมาเก็บของโดยด่วน สามชีวิตที่ถูกปลุกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก็ยังเอ๋อแดกกันสุดขีด งัวเงียหนักมาก แต่มือคือต้องทำงาน เก็บข้าวของทุกอย่างออก เพราะรถไฟขบวนนี้จะยังต้องไปต่อ เดลีไม่ใช่สถานีสุดท้ายของรถไฟขบวนนี้ พวกเราใช้สปีดที่เร็วที่สุดที่จะทำได้ หอบของทุกอย่างและตัวออกไปจากรถไฟ เราออกมาจากรถไฟแบบเอ๋อสุดๆ หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันไม่ได้แปรง สภาพคือดิบสุด รู้แค่ว่าตอนนี้เราคงต้องเรียกแท็กซี่ไปสนามบินแล้วค่อยว่ากัน ไม่อยากจะคิดว่าถ้าไม่มีใครซักคนที่ตื่นมา ข้างหน้าเราจิเป็นเช่นไรร รถไฟอินเดียมันไว้ใจไม่ได้จริงๆ!
เราเดินออกจากสถานีรถไฟด้วยความงงงวย เราเรียก Uber ซักพักจึงจะได้ขึ้นรถ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ใน EP. ที่แล้วว่า Uber เป็นอะไรที่ไว้ใจได้สุดแล้วในการมาอินเดีย เพราะฉะนั้นคิดจะเลือกรถ เลือก Uber เถอะ โหลดแอพมาจากไทยเลยก็ได้
_________
จากที่เพิ่งกระโดดลงรถไฟมาหมาดๆ ระหว่างนั่งแท็กซี่ทุกคนไม่มีใครพูดจา ต่างคนต่างงัวเงียสลึมสลือ ไม่มีใครมีสติซักเท่าไหร่เนื่องจากความง่วงเข้าครอบงำ คราวนี้เราก็มาต่อกันที่สนามบินกันแล้ว รถมีความติดนิดหน่อย แต่โชคดีที่เรายังพอมีเวลาอยู่ค่อนข้างเยอะ
เราถึงสนามบินก่อนเวลา นั่งหาอะไรกินเรื่อยเปื่อย ชิวมาก เตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะอากาศจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ที่อินเดียมีการตรวจเช็คหลายขั้นตอน ถึงแม้จะบินในประเทศแต่ก็ตรวจหนักทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องเผื่อเวลาไว้มากๆในการมาสนามบิน ไม่งั้นจะตกเครื่องกันได้ง่ายๆเลยทีเดียว
การเดินทางภายในเลห์
การเดินทางในเลห์มีแท็กซี่เช่นกัน ซึ่งเป็นที่นิยมถ้าอยู่ในตัวเมืองกันเอง แต่ส่วนใหญ่ปกติ เหล่านักท่องเที่ยวจะมีรถพร้อมไกด์ที่พาแวะได้อยู่แล้ว
เมื่อฉันอยากจะมองเห็นภูเขาจากหน้าต่างเครื่องบิน
ถ้าอยากจะเห็นภูเขาสวยๆ แนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายตอนขาไป และนั่งฝั่งขวาในขากลับ รีบทำ check-in online หรือจองที่ไว้ตั้งแต่ตอนจองตั๋ว ถึงแม้จะมีเสียเงินกันไปบ้าง แต่ก็คุ้มสำหรับวิวสักครั้งนึงในชีวิต ไปเลห์คราวนี้ เรานั่งสายการบิน Go Air ซึ่งบินดีใช้ได้ เราไปกันสี่คนแต่ไม่มีใครนั่งด้วยกัน ทุกคนจองริมหน้าต่างกันหมด ไม่มีพูดจากับใครแล้วจ้าา สวยงามอลังการงานสร้างเข้าอี๊กกก กล้องในมือถ่ายรูปมาแบบรัวๆเหมือนชีวิตไม่เคยเห็นภูเขามาก่อน แต่ยังไงของจริงก็สวยจนเอาอะไรมาเทียบไม่ได้จริงๆ
ความเสี่ยงในการมาเลห์ก็คือ เครื่องลงไม่ได้!
ในการลงเครื่องที่เลห์ ไม่ได้ลงกันง่าย ถ้าลมแรงมาก บางครั้งก็อาจจะลงไม่ได้เลย จนบางครั้งก็มีการแคนเซิลไฟลท์ที่เดลีได้เช่นกัน เราวนอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เนื่องจากมีเมฆและลมแรง ซึ่งสามารถสัมผัสได้เลยจากแรงลมช่วงที่เครื่องลง ตอนเครื่องกำลังจะลงเป็นอะไรที่สวยงามมาก เหมือนเราถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาไปหมด ยิ่งถ้าใครมาช่วงหน้าหนาวน่าจะฟินน่าดู
______
เครื่องบินเราดีเลห์ไปเป็นเวลาที่ยาวนานมากเนื่องจากอากาศที่เลห์แปรปรวนไม่สามารถทำการบินลงได้ ทำให้เราต้องรอไปอีกเกือบสองชั่วโมงถึงจะได้ขึ้นบิน แถมพอเรามาถึงยังต้องบินวนอยู่ข้างบนอีกซักพักใหญ่เพราะอากาศและวิสัยทัศน์ค่อนข้างแย่ ทำให้แพลนเราช้าไปหลายชั่วโมงมากก
เมื่อมาถึง..
______
หลังจากได้แต่มองความสวยงามจากข้างบนฟ้า ตอนนี้เรามาถึงในเลห์จริงๆแล้ว จากที่เราจะต้องถึงตั้งแต่ 11 โมง กลายเป็นว่าเราดีเลย์อยู่บนฟ้าและกว่าจะออกมาจาก procedure ทุกสิ่งอย่างได้ เพราะที่อินเดียจะมีความเข้มงวดเรื่องของที่จะเข้าระหว่างประเทศ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจนคนที่รอเกือบจะกลับไปแล้วเพราะไม่เจอเราซักที เมื่อเราเดินออกไป เราเจอผู้ชายถือป้ายชื่อเราอยู่ บอกเลยเรามีความมึนๆเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้ถึงกับเป็นหนักอะไร ทุกคนเก็บของขึ้นรถเพื่อไปยังโรงแรมของเราเพื่อไปพบ คุณ Stanzin เจ้าของโรงแรมสุดเท่ห์ของเรานั่นเอง จากสนามบินไปโรงแรมไม่ไกลมาก เพราะเมืองเลห์เองก็เป็นเหมืองหลวงเล็กๆในแคว้นลาดักที่เรารู้สึกชอบมากเช่นกัน
______
เราเห็นคนที่ดูป่วยจาก Acute Attitude Sickness อยู่บ้างเหมือนกัน รู้สึกสงสารเพราะคิดว่าทริปนี้อุตส่าห์มาถึง ยังจะต้องมาป่วย จะให้สนุกก็คงยาก แนะนำให้พกออกซิเจนกระป๋องไปด้วยหรือจะซื้อจากที่นี่ก็มี โดยเฉพาะสำหรับคนที่ตัวเล็ก เพราะจะสูดอ๊อกซิเจนไปได้น้อย กระป๋องนึงราคาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ประมาณ 200 บาท บางเจ้าขาย 300 บาทก็มี
Day 6
Nice to meet you ยินดีที่ได้รู้จัก
Places To Go:
l Hotel Yaran Tso l l Leh Palace l Shanti Stupa l Leh Town l
เรานั่งจากสนามบินที่ใช้เวลาเนิ่นนานเหลือเกินกว่าจะได้ออกไป เรารู้สึกตื่นเต้นมากกับภายตรงหน้าและทิวทัศน์ของภูเขา ไม่อยากเชื่อว่าเรามาถึงจนได้ จากการผจญภัยในหลายวันที่ผ่านมาจนมาหยุดที่จุดหมายปลายทางสุดท้าย รอบๆจะเห็นว่ามีค่ายทหารค่อนข้างเยอะ แทบไม่เจอคน จนเราแวะไปแถวในเมืองเลห์ เรานั่งรถไปประมาณ 15-20 นาที จนมาถึงที่พัก ที่พักเป็นโรงแรมเล็กที่บรรยากาศดีมาก ข้างหน้าเป็นสวนหย่อมเล็กๆ พร้อมที่นั่งดื่ม จิบชาตามใจชอบได้อีกด้วย และแน่นอน เพราะคงไม่มีโอกาสได้ใช้พื้นที่ตรงนี้เพราะมัวแต่ไปเที่ยวทั้งวัน
โรงแรม Hotel Yarab Tso และการเดินทางของเรา
เราได้คอนแทคมาจากรุ่นพี่ที่รู้จักที่การันตีมาแล้วกว่าบริการแบบหกดาว ดีจริงอะไรจริง เท่าที่รู้คือมีคนไทยมานอนที่นี่ค่อนข้างเยอะ เจ้าของโรงแรมที่เลห์ ชื่อ Stanzin เป็นคนน่ารัก เอาใจเก่งกันทั้งโรงแรม ส่วนการเดินทาง ไม่ต้องคิดอะไรมาก มานอนที่นี่ เรื่องเดินทางก็จบที่นี่ ต้องเล่าว่าปกติโรงแรมที่เลห์จะมีจัดทริปให้แทบที่ เพราะฉะนั้นคุยกับเจ้าของโรงแรมก็จบแล้ว ไม่ต้องหาจากที่อื่น เพราะส่วนใหญ่ราคาจะไม่หนีกัน ทางโรงแรมจะจัดการการเดินทาง โรงแรมที่จะไปพักให้ทุกอย่าง ซึ่งโปรแกรมการเดินทางไปเลห์ปกติจะเป็นไปคล้ายๆกัน ยกเว้นเราต้องการเพิ่มเส้นทางหรือไปไหนเพิ่มเติม สามารถบอกเค้าได้ ที่โรงแรมทุกคนบริกรชายล้วน น่ารัก บริการดี เอาใจใส่ทุกคน ที่ไม่มีผู้หญิงเพราะที่อินเดีย ผู้หญิงยังไม่นิยมให้ออกมาทำงานจ้า คือถ้าได้มาอีก จะมาที่นี่อีกแน่นอน
เมื่อเรามาถึงก็มีคนรออยู่แล้ว บริการที่นี่ เต็มร้อยให้ร้อย พอก้าวขาออกจากรถ มีคนเปิดประตู ช่วยเอากระเป๋าไปวางเรียงรวมกันเรียบร้อย เมื่อเราเข้าไปถึงโรงแรม Stanzinและบริกรทุกคนรอต้อนรับเราอยู่แล้ว เราทักทายกันในฐานะที่เราก็คุยกันมาใน Whatsapp มาตั้งนาน 555 มองถัดไปที่โต๊ะห้องโถงจะเห็นกรอบรูปคนไทยที่วาดไว้ให้ทาง เขียนเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษขอบคุณสำหรับการมาพักที่นี่ ทุกคนน่ารักมาก ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีช่วงเวลาดีๆที่มาอยู่ที่นี่จริงๆ วันนี้เท่าที่รู้คือ แขกคนอื่นออกไปเที่ยวกันหมดแล้ว เลยยังเงียบๆกัน แต่เย็นนี้น่าจะคึกคักน่าดู กลุ่มนึงเป็นเพื่อนของเพื่อนที่มาเลห์เช่นกัน และได้คอนแทคมาจากเรา ทุกคนน่ารักและบริการดีมาก และยังได้เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้ด้วยจ้าา!
รายละเอียดการติดต่อโรงแรม:
Whatsapp Stanzin: +91 96228 20661 , +91 94199 77423
Hotel Yarabtso email: hotelyarabtso@gmail.com, infohotel@hotelyarabyso.com
อาหารกลางวันที่นี่ดีเลิศประเสริฐศรีมากเนื่องจากมีการเสิร์ฟเนื้อสัตว์!! ตั้งแต่มาอินเดีย เรากินเนื้อสัตว์กันไม่บ่อยเพราะส่วนใหญ่อาหารจะเน้นผักโดยเฉพาะที่ไจปูร์ที่แทบจะไม่เจอเนื้อสัตว์เลยอาหารที่เค้าเอามาให้มื้อนี้ดูเป็นสไตล์เอาใจคนไทยโดยเฉพาะ คือกินได้เรื่อยๆไม่เหมือนอาหารอินเดียทั่วไป เราคิดว่าคนไทยคงมาใช้บริการที่นี่เยอะมากจริง เค้าถึงทำอาหารแบบนี้ขึ้นมาด้วย ไม่ก็เพราะที่นี่ต่างจากอินเดียทางตอนล่างและมีการกินเนื้อสัตว์มากขึ้น แต่อาหารไม่ผิดหวังคือโอเคเลย
เราได้มีการคุยกับ Stanzin เจ้าของโรงแรมมาตั้งแต่แรกซึ่งโปรแกรมที่เราตั้งใจจะไปใน 5 วันนี้ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้รับคำแนะนำจาก Stanzin ด้วย ส่วนใหญ่การเที่ยวเลห์ ลาดักจะเป็นรูทคล้ายกันหมด เนื่องจากเป็นภูเขา เราจะไม่สามารถวนไปวนมาเหมือนอยู่ได้เมืองได้ แต่ละที่ก็ไกลแสนไกล บางวันนั่งรถมากกว่าได้เที่ยวซะอีก
_________
วันแรก สิ่งที่เราต้องทำก่อนเลยคือการพักผ่อน นี่คือข้อบังคับ! เนื่องจากร่างกายเราจะยังไม่ชินกับที่สูง ถึงเราจะกินยา Diamox ไปแล้ว เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องให้ร่างกายชินกับความกดอากาศต่างๆ แถมออกซิเจนก็จะน้อยลงด้วย เราเลยต้องค่อยเริ่มเที่ยวเป็นลำดับและไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆให้ร่างกายได้คุ้นชิน การพักผ่อนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดวันนี้ แล้วตอนเย็นเราจะออกไปเดินเล่นในเมืองกัน
ไม่นานเราก็ขึ้นไปในห้องของเรา แบ่งเป็นสองคน นอนห้องละสองคน แต่เนื่องจากเรามีเพื่อนผู้ชายไปด้วยคนนึง เพื่อนผู้หญิงอีกคนเลยระเห็ดมาอยู่กับเราชั่วคราว เรามีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนจะออกไปข้่างนอกอีกรอบ เอาจริงๆเราแทบไม่ได้นอน 555 มัวแต่จัดของ ถ่ายรูปห้อง วุ่นวายกับตัวเอง จนได้นอนประมาณครึ่งชั่วโมงก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวออกข้างนอกแล้ว พร้อมอาการมึนที่ไม่รู้ว่ามึนเพราะนอนไปนิดเดียวหรือร่างกายยังไม่ชิน
_________
ประมาณสี่โมงครึ่งเราออกจากโรงแรม โดยมีพี่คนขับรถใจดีที่ตอนนี้เราจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เพื่อนบอกว่าอักษรตัวแรกเค้าชื่อคือ ยู นั่งพี่ชื่อยูไปก่อนละกันนะ 5555
Leh Palace (พระราชวังเลห์)
พี่ยูของเราพาเราเข้าไปในเมืองเลห์อีกครั้ง โดยที่แรกที่เราจะไปกันคือ Leh Palace หรือ พระราชวังเลห์ ซึ่งถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีกษัตริย์อยู่ที่นี่แล้ว แต่ยังมีโครงสร้างและศิลปะหลงเหลืออยู่บ้าง ที่นี่มีชั้นถึง 9 ชั้นโดยก่อนหน้านี้แต่ละชั้นเป็นเป็นที่พักของกษัตริย์ ชั้นล่างเป็นที่เก็บของ ได้มีจัดนิทรรศการภาพถ่ายสถานที่สำคัญในอินเดียไว้บางห้องอีกด้วย ซึ่งไฮไลท์ที่สวยของที่นี่คือ ดาดฟ้าที่มีหลายชั้นและสามารถเห็นวิวทั้งเมืองได้ทั้งหมดหรือคือที่พักเก่าของเหล่ากษัตริย์นั่นแหละ เราและเพื่อนอีกคนตัดสินใจเข้าไปดูเพราะอยากเห็นข้างใน ส่วนเพื่อนอีกสองคนรอข้างนอก ไปเดินเล่นเขาอีกลูกซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ราคาคาตั๋วอยู่ที่ 100 รูปี (45 บาท) เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8.00-17.00
เมื่อเข้าไปข้างใน ส่วนใหญ่ห้ามถ่ายรูป มีศาลเจ้าและองค์เทพต่างๆอยู่ ที่นี่จะเน้นนับถือเป็นพุทธศาสนาหรือเทพจีน ต่างจากอินเดียฝั่งอื่นที่จะใช้ฮินดูเป็นหลัก
ข้างในห้องให้ดูมีไม่มาก แต่หลักๆจะเป็นชั้นดาดฟ้าและนิทรรศการรูป เราเดินขึ้นไปหลายชั้นๆ จนเจอดาดฟ้าชั้นแรก ชั้นที่สอง ชั้นที่สามและอีก 2-3ชั้น 555 เหมาะแก่การถ่ายรูปชมวิวอย่างยิ่ง เราว่าก็โอเคนะ เหมือนได้ลองเข้ามาดูว่าพระราชวังที่นี่เป็นอย่างไรบ้างเป็นออเดิร์ฟ เราใช้เวลาไม่นานมากที่นี่ ( แต่ก็ล่อไปเกือบชั่วโมง) เรากลับไปขึ้นรถเพื่อจะไปที่ต่อไปของเรากัน
-Shanti Stupa-
คราวนี้เราขึ้นเขาที่สูงขึ้นที่ Shanti Stupa เป็นเจดีย์สันติภาพที่ถูกก่อตั้งโดยชาวญี่ปุ่นในปี 1985 องค์ดาไลลามะเป็นคนมาทำพิธีเปิดด้วยตนเองอีกด้วย ที่นี่เราจะสามารถเห็นภูเขาสูงๆสวยๆได้ในยามพระอาทิตย์ตก ณ เจดีย์แห่งนี้ เราจะต้องเดินวนตามเข็มนาฬิกาเพื่อสวดมนต์หรือทำพอเป็นพิธี เจดีย์นี้ใหญ่และสวยมาก มีคนมาค่อนข้างเยอะ เราจะได้ยินเสียงคนไทยจากทุกที่ ที่เราไป เราก็รู้แหละว่าที่นี่ฮอตฮิตขนาดไหน
_________
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ซักพักใหญ่ เพราะวิวสวย อากาศดีมาก แอบหนาวซะด้วย เราเห็นภูเขามีหิมะปกคลุม ทุกอย่างสวยและมีความรู้สึกถึงพลังของความเป็น spiritual ของที่นี่มาก ฝั่งตรงข้ามเป็นวัดอยู่ตรงกลางเขา ไม่รู้คือวัดหรือที่อยู่ของพระ แต่สวยมากๆ พระข้างบนน่าจะหนาวน่าดู
เดินไปข้างล่างหน่อย จะมีร้านกาแฟขายเครื่องดื่มร้อนๆ น่ารักอยู่ตรงเชิงเขา วิวก็ดีมาก แต่เราไม่ได้เข้าไปซื้ออะไรกินเลยด้อมๆมองๆอยู่ข้างนอกแทน
_________
รีวิวห้องน้ำแบบรั่วๆ เมื่อฉันต้องทำธุระ.. รีวิวห้องน้ำแบบเปิด
ความหนาวบางครั้งก็คู่กับการที่จะต้องเข้าห้องน้ำใหญ่ขึ้น เป็นหนึ่งในความลำบากของผู้หญิงสุดๆ เราปวดจนต้องยอมที่จะเข้าห้องน้ำที่นี่ ถึงแม้จะรู้ว่าอนาคตไม่สู้ดีซักเท่าไหร่ เพราะเริ่มไม่แน่ใจว่าที่ไหนดีกว่ากัน ระหว่างจีนกับอินเดีย
เราเข้าห้องน้ำไปด้วยความกล้าๆกลัวๆ ที่คิดไว้คือต้องกลั้นหายใจให้นานที่สุด 555 เมื่อเราเจอห้องน้ำ เราพบว่าห้องน้ำเล็กมาก เข้าไปปุป มันไม่ได้มีส้วมนั่งยองหรืออย่างใด มันคือ หลุมตรงกลาง และข้างล่างคือช่องว่างที่สูงมากก เหมือนเราฉี่จากที่ๆสูงมากลงไป 55555 ความรู้สึกแรกที่ถอดกางเกงก็คือ หวิวและเย็นมาก มันมีลมตีขึ้นมาจ้า โอ้ยยยย 5555 คือช่องว่างระหว่างกันมันเยอะมาก จนลมเข้ามากระแทกอย่างแรง เหมือนเวลาใส่ผ้าอนามัยแบบเย็น แต่อันนี้เย็นยิ่งกว่า เป็นประสบการณ์การเข้าห้องน้ำที่ลืมไม่ลงจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ไม่เหม็นละวะ หลังจากเสร็จธุระ เรารีบออกจากห้องน้ำ จริงๆก็แอบกลัวตกลงไปในรูนั่นเหมือนกัน รูแอบใหญ่ 555 แต่คอนเฟิร์มว่าที่นี่พอเข้าได้ ดีกว่าจีนนะจ๊ะ
เมื่อความมืดมาเยือน พระจันทร์ส่องแสงแล้ว เราไปต่อกันที่ๆสุดท้ายของวันนี้คือ เข้าเมืองเลห์จ้า
Leh Town (เมืองเลห์)
โดยพี่ยูของเราปล่อยเราต้องข้างหน้าเลย กลิ่นที่ตีเข้าหน้าเราอย่างแรกคือกลิ่นยั่วๆของอาหารทางด้านซ้าย ซึ่งเราโป๊ะเชะเจอเคบับ ดูน่ากินมาก ที่นี่เคบับจะไม่ได้ชิ้นใหญ่ยาว แต่จะเป็นชิ้นเล็กๆอร่อยดี แต่แล้วแต่ร้านด้วยนะ ที่นี่คงเป็นเหมือนสยามบ้านเรา มีร้านอาหาร ร้านขายของเต็มไปหมด นอกจากเวิ้งตรงนี้ก็ยังมีอีกหลายเวิ้งที่ดูน่าเดินเล่นและน่าเสียเงินอยู่ไม่ใช่น้อย
วันนี้เรามีเวลาอยู่ไม่เยอะเพราะใช้เวลากับสองที่แรกแอบนาน เราเลยแยกกันเดินเพื่อจะได้เร็วขึ้น ที่จริงที่นี่ถือว่ามีของครบครัน มีร้านขายโทรศัพท์ ร้านเครื่องประดับ ของแต่งบ้านมีหมด ที่สำคัญคือของถูกมากๆ โดยเฉพาะผลไม้ ถ้ามีเวลา ควรซื้อกลับไปมากอร่อยด้วย เราเจอร้านขายของชำเล็กๆ เลยไปซื้อขนมมาตุนกับธงอันจิ๋ว ถือเป็นของที่ระลึกสำหรับที่นี่ เดินไปไม่นาน ก็ถึงเวลาต้องกลับแล้ว เราจะยังมีเวลาได้กลับมาที่นี่อีกในวันอื่น พี่ยูพาเรากลับโรงแรมอย่างปลอดภัย เรากินอาหารเย็นที่โรงแรมและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางที่แสนยาวไกลในวันพรุ่งนี้
Day 7
Places To Go:
l Sikh Temple l Magnetic Hill l Zanskar Lake l Alchi Gompa l Lamayuru Gompa l Moon Landscape l
ผ่านไปหนึ่งวันชิวๆที่เลห์ ดีที่ทุกคนยังไม่มีอาการเกี่ยวกับการแพ้ความสูงใดๆ วันนี้เรามีโปรแกรมกันตั้งแต่เช้า หลังจากที่ทุกคนเข้านอนกันเร็วกว่าปกติเพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางและความดันอากาศที่เรายังไม่คุ้นเคยกันดีนัก การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยได้มาก เราตื่นเช้าพร้อมกินอาหารเข้าที่โรงแรม มีไข่และไก่ให้เรากินวันนี้ สตาฟทั้งสามคนคอยต้อนรับเราเหมือนเดิม และชอบถามเราว่าอาหารอร่อยมั้ย ใส่ใจพวกเราดีมากจนเกรงใจเลย พวกเราแอบออกสายนิดหน่อยประมาณ 9 โมงครึ่งตามไทยสไตล์ 555 พี่ยูของเรามารอตั้งแต่เช้าแล้ว
_________
ระหว่างทางเราได้ลงไปถ่ายวิวหลายที่ โดยจุดแรกไม่มีอะไรมากแต่ก็สวยแล้ว เป็นวิวภูเขา มีลำธารน้ำเล็กๆต่อจากแม่น้ำ มีสัตว์น้อยใหญ่กำลังใช้วีวิตตามแบบแผนของมัน อากาศแบบนี้กับที่แบบนั้น พวกมันคงมีความสุขเนอะ
เราผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ลูกแล้วลูกเล่า.. คือเยอะจนนับไม่ถ้วน จะสังเกตว่าภูเขาที่นี่จะแทบไม่มีหญ้าให้เห็น คือโล้นมาก หรือเป็นภูเขาหินปูน ปูนแดงอะไรแบบนี้นั่นเอง ซึ่งมีแร่ธาตุที่สำคัญอยู่ค่อนข้างมาก และด้วยความที่ลาดัคเป็นเมืองติดชายแดนปากีสถาน ที่นี่จึงมีค่ายทหารเยอะมากๆ เราจะเจอทหารได้บางครั้งเช่นกัน ถึงแม้สงครามจะสงบลงแล้ว แต่สามารถปะทุกลับมาขึ้นได้ ที่นี่เลยมีทหารเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงนี้ปี 2019 ที่ดูจะมาคุแปลกๆ
– Sikh Temple-
ที่แรกที่เราแวะคือโบสถ์ของศาสนาซิกซ์ คนอินเดียบางส่วนนับถือศาสนานี้เช่นกัน ส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นศาสนาที่น่าสนใจถึงที่มาและคำสอนเพราะเป็นศาสนาที่นำคำสอนที่ดีในศาสนาฮินดูและอิสลามมารวมกัน
ก่อนที่เราจะเข้าไปในโบสถ์ เราต้องล้างเท้าและใส่ผ้าคลุมสีส้มลงบนหัวเพื่อปิดบังผมของเรา จากนั้นเราต้องเดินขึ้นบันไดไปจนถึงยอดสูงสุด แต่ไม่ได้สูงมากขนาดนั้น ระหว่างเข้าไปเราเจอทหารเป็นกองทัพเข้ามาสักการะเช่นกัน เสียดายว่าถ่ายรูปมาไม่ได้
เข้าไปในโบสถ์เล็กๆ ซึ่งเค้าไม่ได้ให้ถ่ายรูป เราเลยไม่มีรูปติดมาด้วย ข้างในมีของประดับมากมาย มีเพลงบทสวดเปิดวนตลอด มีคนดูแลสถานที่อยู่ประมาณสองคน คอยไกด์เราว่าต้องทำอะไรบ้าง มีคนมาไหว้พอดี เราเลยทำตามเค้าไปซะเลย จากนั้นเค้าจะมีเหมือนขนมปังที่เอาไปนุ่ง จะเรียกขนมปังคงไม่ใช่ มันเหมือนแป้งเหนียวๆ เอาไปนึ่ง ไม่มีรสชาติ ปั้นเป็นก้อนแล้วก็กิน คงคล้ายๆเวลาศาสนาคริสต์กินขนมปังละมั้ง ในโบสถ์มีรูปของศาสดาอยู่หลายรูป ในโบสถ์มีอุปกรณ์ในการประกอบศาสนามากมาย มีเครื่องเงินทองสวยหรู ที่สำคัญคือมีกริชอันใหญ่วางไว้ตรงกลางห้อง ซึ่งเท่าที่อ่านมา กริชเป็นสัญลักษณ์การป้องกันตัวของชาวซิกซ์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เราอยู่ที่นั่นไม่นาน ก็กลับลงมา เพื่อเตรียมตัวจะไปกันต่อ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจ เพราะเราก็ไม่เคยเข้าโบสถ์ซิกส์หรือเห็นพิธีกรรมต่างๆของเค้าเลย
แวะดูโบสถ์กันกรุบกริบไม่นานเพราะเริ่มโดนพี่ยูเร่ง เรายังมีอีกหลายที่ต้องไปเช็คอิน โดยที่ๆสองที่เราจะไปคือหนึ่งในไฮไลท์ของวันนี้
-Magnetic Hill-
Magnetic Hill คืออะไร? อีกชื่อนึงเรียกว่า Gravity Hill ต้องบอกตามตรงว่าตอนแรกยังงๆว่ามันคือยังไง จนเราขับไปถึงจุดนึงที่เห็นวิวภูเขาข้างหน้าที่สวยงามมาก ไปถึงครึ่งทางอยู่ดีๆพี่เค้าก็จอดรถแบบเคลื่อนไปช้าๆ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ถึงบางอ้อว่าตรงที่เค้าเรารถไปจอดตรงเส้นที่เค้าบอกว่ามีแรงแม่เหล็กและรถจะไหลไปจากตรงนั้นเองด้วยแรงของแม่เหล็กถึงแม้ถนนจะเรียบจนรถไม่น่าจะไหลได้ก็ตาม ซึ่งตอนที่เกิดขึ้นเราแทบไม่รู้ตัวจริงๆนะ หลักๆคิดว่าตรงนี้จุดเด่นคือการถ่ายรูปสวยๆกับภูเขาตรงหน้ามากกว่า
ด้วยความที่ ที่นี่เป็นจุดแวะของทุกคน ต่างคนต่างต้องการรูปดีๆกลางถนนปราศจากรถ คิวถ่ายรูปจึงยาวเหยียดเหลือเกิน เวลาของเราก็น้อยเช่นกัน ลองถ่ายเล่นกันเองแต่ก็ตัดใจจะได้รูปกลางถนน แต่ไม่เป็นไร แค่นี้เราก็พอใจแล้ว ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆกับตรงนี้เพราะคนเยอะมากก ก ไก่ล้านตัว จะหารูปถ่ายดีๆกับฉากผู้เขาข้างหลังไม่ได้เลย แถมก็เริ่มขี้เกียจที่จะรอคนอื่นถ่ายละ ดูจะนานกัน สรุปเลยได้รูปที่ไม่ได้ถูกใจเท่าไหร่ แต่ก็สวยได้อยู่
เจอห้องน้ำหลุมในตำนานกลางทุ่งหญ้าอีกแล้ว ซึ่งเรานี่แหละที่ปวดฉี่อีกแล้วว ได้ไปลองห้องน้ำกลางทุ่งอีกแล้วจ้า อันนี้คล้ายอันเมื่อวานแต่ไม่เย็นวาบเท่าไหร่ พอรับได้ถ้าไม่ได้เห็นอะไรข้างล่างเหมือนที่จีน อันนั้นจะทำให้เราอยากอ้วกตลอดเวลา ใช้เวลาอยู่ที่ Magnetic Hill ประมาณ 40 นาทีเราก็ไปต่อ
-Zanskar Lake-
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปที่ไฮไลท์ที่เรารอคอยยิ่งกว่านั่นก็คือ “แม่น้ำ Zanskar” แม่น้ำสองสีไหลมาบรรจบกันเป็นสีฟ้าสวยงาม เพราะในรูปที่เราเห็นนั้นมันสวยเว่อวัง อยากจะมาเห็นของจริงซักที พอมาถึงปรากฏว่าน้ำไม่มีสีเลยจ้าาา T_T (น้ำตาตกใน) ถึงแม้เราว่าเราเห็นแม่น้ำเป็นสองสีชัดเจนแยกออกจากกัน แต่ไม่มีสีฟ้าใดๆให้เราได้เห็น พอลองคุยกับพี่ยู เค้าบอกว่าถ้าอยากจะเห็นน้ำสีฟ้าต้องมาช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไปถึงจะเห็น น้ำช่วงนี้ไหลแรง มีตะกอนจากการละลายของหิมะบนภูเขาทำให้ไม่สามารถเห็นเป็นสีสวยๆได้ เสียดายไปอี๊กก คิดซะว่าเราก็ยังได้เห็นสีน้ำที่แยกกันชัดเจนเพราะตะกอนของน้ำที่แตกต่างกัน ไม่สามารถผสมกันได้ด้วยแรงดันต่างๆ เราถ่ายรูปเป็นพิธีไปซักพัก ข้างล่างเหมือนมีที่ไปนั่งด้วย แต่เราไม่รู้จะไปนั่งทำอะไร 555 อยู่ตรงนั้นประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง เราก็เดินทางไปต่อ เพราะฉะนั้นใครมาช่วงนี้ อาจจะต้องทำใจว่าจะไม่ได้น้ำสวยๆนะคะ
พี่ยูของเราพาซิ่งไปต่อข้ามสะพานแม่น้ำไปอีกเมืองที่เราก็ไม่รู้ว่าคือเมืองอะไรบ้าง นั่งรถค่อนข้างนานอยู่ หลับแล้วหลับอีก เจอแต่ภูเขาทั้งทาง บางครั้งแจกพอตเจอกวางด้วย
-Alchi Gompa-
ประมาณบ่ายโมง พี่ยูของเราพาเรามาเที่ยววัดๆหนึ่งหรือที่เรียกกันว่า Alchi Gompa เป็นวัดที่มีศาลรวมกันประมาณ 3 ศาลที่มีอายุยาวนาน ถูกสร้างไว้ค่อนข้างนานแล้ว ข้างในไม่ให้ถ่ายรูปเหมือนเดิม เลยไม่ได้รูปอะไรมามากนัก มีของขายที่ระลึกต่างๆด้วย ที่สวยคือข้างหลังศาลจะมีแม่น้ำไหลผ่านวิวสวยดี แต่ตอนนั้นฝนตกเลยทำให้ไปเดินดูได้แปปเดียว ที่นี่ไม่มีอะไรมาก อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ออกมากัน แต่แนะนำให้เข้าห้องน้ำที่นี่ได้ เป็นส้อมนั่งยองเหมือนบ้านเรา พวกเราเริ่มหิวข้าวละ ซึ่งๆที่เราจะไปกินข้าวกันคืออยู่อีกเมือง
หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงนึง พี่ยูพาเรามาจอดหน้าร้านอาหารแห่งนึงที่คงจะติดต่อกันไว้ เพราะคุณพี่ยูได้กินฟรีแทบทุกมื้อ 555 เราได้เมนูมาก็สั่งตามดีตามเกิด ตามที่เราเคยกินมา อาหารเค้าอร่อยเลยแหละ ราคาถูกมากด้วย ตกกันไม่ถึงร้อยกว่าบาทแต่สั่งหลายอย่างอยู่ แถมได้ไปดูพี่เค้าทำแป้งนานให้ดูสดๆด้วยจ้า
-Lamayuru Gompa + Moon Landscape-
ที่สุดท้ายซึ่งก็เป็นไฮไลท์หลักของเราเช่นกันได้แก่ได้แก่ Moon Landscape หรือ Lamayuru เป็นภูเขาที่ได้ชื่อว่าพื้นผิวเหมือนพระจันทร์แถมยังมีแสงส่องเหมือนพระจันทร์ด้วยนะเออ(ก็แสงจากพระอาทิตย์นี่แหละ) ซึ่งทำให้เกิดแสะสะท้อนสวยมาก
เรานั่งรถไปอีกประมาณสองชั่วโมงถึงจะถึงที่นี่ โดยเราได้เข้าไปในวัดหรือกุฏิพระก่อน เพื่อเข้าไปดูความงามกันบ้าง ข้างในคล้ายๆที่เราไปเห็นในเลห์ตอนแรก เราเข้าไปไหว้พระตามปกติ ส่วนใหญ่เราออกไปถ่ายตามข้างนอกมากกว่า
วัดนี้เมื่อมองไปตรงข้ามเราจะเจอกับภูเขา Moon สะท้อนแสงอาทิตย์อยู่สวยมาก ความแปลกคือบางส่วนของภูเขาจะมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปรวมถึงสีด้วย จนชาวบ้านเรียกว่าภูเขาดวงจันทร์ ตอนโดนแสงเรามีความรู้สึกเหมือนต้องมนต์ มันสวยมากเลยแหละ ดูแปลกตามาก
ได้รูปถ่ายไปหลายแชะเลย ถือว่าควรจะมาดูซักครั้ง แต่ควรจะมาตอนที่มีแดด เพื่อที่จะได้เห็นแสงสะท้อนได้บ้าง ซักพักนึงฝนตกอีกแล้ว ภูเขาที่นี่มีความเป็นภูเขาสูง ยอดภูเขาจะมีความแหลมๆด้วย หลังจากที่เราใช้เวลาที่นี่ไปประมาณหนึ่งชั่วโมง
ทางแคว้นลาดักก็มีโครงการเพื่มพื้นที่สีเขียวให้กับแค้ว้นนี้ด้วย เพราะในแคว้นนี้ถ้าสังเกตจะเห็นว่าแทบไม่มีต้นไม้ให้เห็น ส่วนภูเขาก็คือปูน เพราะฉะนั้นจึงเกิดพื้นที่เหล่านี้ขึ้น ภูเขาขากลับอย่างสวย อย่าลืมเตรียมกล้องไว้สแตนบายด้วยหละ
หลังจากนั้นเรากลับไปนอนที่เลห์อีกครั้ง โดยวันนี้ก่อนกลับ เราไปกันที่ตลาดสยามของเลห์ก่อนเพื่อเดินเล่นและหาของตุนกันเพิ่ม เจอรุ้งกินน้ำอันใหญ่และชัดมาก ตื่นเต้นมากเลย
เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งที่นี่ แบ่งเป็นคนสองกลุ่ม เราเดินไปร้านหนังสือที่เล็งไว้ตั้งแต่แรก ข้างล่างจะเป็นศูนย์ที่ตรวจอ๊อกซิเจนได้ว่าเรามีอ๊อกซิเจนพอมั้ย ข้างบนจะเป็นร้านหนังสือและมีเครื่องดื่มขาย ร้านหนังสือออกแบบมาให้ดูเหมือนห้องสมุด น่ารักดี สามารถเอาหนังสือมานั่งอ่านได้ด้วย เราเลยนั่งจิบชาดูวิวชิวๆในนั้นซักพัก
จากนั้นเลยลงไปเดินข้างล่าง เพราะหลังจากนี้เราไม่น่าจะได้มาตลาดเท่าไหร่แล้วเพราะต้องเดินทางไกล ตลาดวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ มีของขายเต็มไปหมด
Day 8
Sweety Eyes อูฐตาหวาน
Places To Go:
l Khadungla l Nubra Valley l
วันนี้เราจะต้องเดินทางไกลมากและต้องไปค้างที่อื่นด้วย เราออกกันประมาณ 8 โมงเพื่อจะไปเจอกับที่แรกของเราวันนี้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงจากเลห์ถ้าจำไม่ผิด
-Khadungla-
ที่แรกที่เราจะไปถึงเป็นจุดที่สูงที่สุดที่มอเตอร์ไซด์จะขี่ได้เรียกว่า ยอด “Khadungla” หนึ่งในจุดที่เห็นธารน้ำแข็งที่สวยงามมากและเห็นใกล้มากด้วย อีกทั้งยังและเป็นจุดที่ดันโคดจะหนาวอย่างไม่ทันตั้งตัว ในเดือนกรกฏาคม ปกติแล้วลาดักจะไม่หนาวมาก เสื้อตัวเดียวปกติคือเอาอยู่ แต่พอขึ้นมาที่นี่จากอากาศ 20 กว่าๆ อุณหภูมิลดต่ำลงไปเหลือเลขตัวเดียว!! ครั้งแรกที่ลงมาจากรถก็พอคิดว่าทนได้ แต่ไปๆมาๆ ต้องรีบวิ่งขึ้นรถเพราะหนาวจนทนไม่ไหวบวกลมที่พัดมาโดนตลอดเวลา เลยต้องรีบเอาแจ็คเกตมาใส่คลายหนาว
ไบค์เกอร์แต่ละคนมารวมตัวถ่ายรูปเป็นอนุสรณ์ของที่นี่ คนค่อนข้างเยอะ มีร้านเล็กๆมีชา เครื่องดื่มขายและมีห้องน้ำ แต่ไม่แนะนำห้องน้ำที่นี่อย่างแรง มีความไม่สะอาดอยู่เลยแต่สุดท้ายก็ต้องเข้าอยู่ดี 555 เพราะที่ที่สองจะใช้เวลาอีกนานมาก เราสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ที่นี่อีกด้วย วิวสวยเว่อวังมากจ้า อย่าลืมไปถ่ายธารน้ำแข็งเพราะสวยและเห็นชัดมาก!
-Memorable Bypass-
จากนั้นเรานั่งรถไปอีกสองชั่วโมงได้ เพื่อที่จะไปกินข้าวกลางวันที่หมู่บ้านถัดไป ซึ่งกว่าจะถึงก็ปาไปเกือบสองโมง! หิวกันตาละห้อย ก่อนเดินทางแนะนำซื้อขนมตุนกันเยอะๆเลยนะ หมู่บ้านนี้เรียกได้ว่ามีความเขียวอยู่บ้านหลังจากอยู่ในรถ เจอภูเขาหินลุกแล้วลูกเล่า แต่ที่ตื่นเต้นมากๆคือเราเจอยัค! ยัคคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สไตล์เหมือนควายบ้านเราแต่มีคนฟูฟ่อง น่ารักน่าชัง ที่นี่เค้ามานมตัวยัคด้วยนะ เนื้อก็มี แต่ยังไม่ได้ลองซักอย่าง เราชอบหมูบ้านนี้มาก มีลำธารสวนไหลผ่านที่สวยงามมาก มีตัวยัคและแกะกำลังกินหญ้ากันอย่างเอร็ดอร่อย แถมวิวสวยมาก อีกนิดเกือบเหมือนอยู่สวิสแล้ว
วันนี้เรามากินร้านอาหารที่เค้าพามาชื่อ Spang Chenmo Restaurant อาหารร้านนี้อร่อยเลย อาหารสั่งกันเหมือนเดิม 555 เพราะสั่งอย่างอื่นไม่ค่อยจะเป็น แต่เห็นเมนูถั่วที่คนอื่นสั่งก็ดูน่ากินดี ชามาซาล่าก็ดี แนะนำมาก แต่ร้านนี้ไม่มีห้องน้ำ ถ้าจะเข้าต้องจ่าย 10 รูปี
หลังจากเต็มที่กับมื้ออาหารและการเดินเล่นพักผ่อนที่นี่ซักพัก เราจะยิงยาวเข้า Nubraวันนี้ และจะเป็นที่ๆเราพักกันคืนนี้ด้วย โดยเราเดินทางกัน 3-4 ชั่วโมงในการไป Nubra Valley ทางก็ทรหดเช่นเคย แต่วิวก็สวยงามมากแบบไม่อยากจะละสายตา จนเราเล่นไพ่กันไปหลายตาก็ยังไม่ถึงซักที 555
หลังจากนั่งรถมาซักพักใหญ่จนเมื่อยก้น เราเริ่มลงเขาและข้ามเข้า Nubra Valleyกันแล้ว โดยที่แรกที่เราจะไปแวะก็คือที่ๆมีเนินทะเวลาทรายสวยงามและที่ขี่อูฐ แต่พวกเราตัดสินใจไม่ขี่เพราะได้ขี่ที่ Jalsaimer มาเยอะและนานจนคุ้มแล้ว ที่นี่ให้ขี่ค่อนข้างสั้น รอบละแค่ 10-15 นาทีแล้วเดินกลับ แค่แป็ปเดียวจริงๆแถมราคาแอบแพงด้วย พวกเราเลยแค่ไปดูคนอื่นกะเดินรอบๆเพื่อถ่ายรูปน้องอูฐมากกว่า แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยขี่อูฐมาก่อน ที่นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ควรมาลองซักครั้ง
เวลาที่จะดูน้องอูฐ จะมีสองช่วง 9:00-12:00 และ 15.30 – 19.00 โมง น้องอูฐที่นี่ตาหวานมากกและมีขนหนาๆ กว่าที่ไจซัลเมอร์เยอะ คิดว่าน่าจะเป็นคนละพันธุ์กันและน่าจะเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นของที่นี่เพื่อความอยู่รอด
เมื่อเรามาเล่นกับน้องอูฐและดูวิวกันอย่างหนำใจแล้ว เราก็ไปกันต่อกับอีกสถานที่หนึ่งก่อนกลับที่พัก เราขับขึ้นไปบนวัดที่มีองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก ซึ่งหน้าตาไม่เหมือนพระพุทธรูปบ้านเรา ออกจะไปทางจีนซะมากกว่าเนื่องจากที่นี่ใกล้ประเทศทิเบตซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากทางนั้น ท่านดาไลลามะเองก็อาศัยอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่ เสียดายว่าอดเจอ เรารู้สึกว่าตรงองค์ใหญ่มีความขลังมากและวิวสูงจากวัดก็สวยมากๆด้วย
เราอยู่ไม่นานมากเพราะเรื่มมืดแล้ว จะเป็นอันตราย เราต้องขับรถไปอีกประมาณชั่วโมงข้างทางแทบมองอะไรไม่เห็น แทบไม่มีบ้านคน โรงแรมอยู่ค่อนข้างไกล มีความกันดารอยู่ โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเครือเดียวกับที่เราอยู่ที่เลห์ ทีคนคอยดูแล ห้องเฉยๆ แต่สำหรับเราแค่นอนได้ก็พอแล้ว ที่ชอบที่สุดคืออาหารที่เค้าเตรียมให้ เยอะมากจนกินไม่หมด ไวไฟใช้ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ก็โอเค น้ำไม่ค่อยร้อน มีน้ำร้อนแค่ห้องเดียวที่ต้องไปรวมกันอาบเพราะทนความหนาวไม่ไหว พวกเรานอนกันไวหน่อยเพราะพรุ่งนี้ต้องออกจากที่นี่ประมาณ 7 โมงกว่าๆ เพื่อไปต่อ ที่นี่มีห้องนั่งเล่นน่ารักที่มีที่ผิงไฟ เป็นที่ตั้งหลักๆของเรา เพราะว่าอุ่นมากมาย พี่ยูของเราก็เข้ามาคุยเล่นสนุกกับเพื่อนของเค้าที่นี่ วันนี้แทบไม่มีคนมาพัก มีแค่พวกเราเท่านั้น
Day 9
Places To Go:
l Turtuk Village l Pangong Lake l
ตอนเช้าเราตื่นแต่เช้าตรู่ งัวเงียขั้นสุด วันนี้เราต้องเดินทางค่อนข้างไกลเพราะวันนี้เราขอแอดสถานที่เที่ยวเพิ่มอีกหนึ่งที่ ซึ่งก็คือ Turtuk Village นั่นเอง
-Turtuk Village-
Turtuk Village เป็นเมืองชายแดนสุดท้ายก่อนจะเข้าปากีสถาน สามารถเห็นยอดเขา K9 ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองรองจาก Everest อีกด้วย แต่ที่อยากจะไปคือที่หมู่บ้านนี้มีความสวยงาม วิวดี คนน่ารัก ก็เลยอยากจะไปดูให้เห็นกับตา แต่จริงๆแล้ว แนะนำว่า ถ้าจะมาควรอยู่ทั้งวันเพราะการเดินทางไกลกันมาก+มีอะไรให้เดินดูได้เยอะ เมื่อมาถึงหมู่บ้านสามารถหาแผนที่เดินไปที่ต่างๆได้ แต่พวกเรามีเวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งน้อยมากกก
_________
แนะนำให้มาเลห์ซัก 6 วันแล้วมาอยู่นี่เต็มวันหนึ่งวันคือ Perfect Trip เลยจ่ะ เรามาถึงที่นี่ตอนช่วงเที่ยงแล้ว ขับมาไกลมากจาก Nubra อย่างแรกที่สะดุดตาคือสะพานสีน้ำตาลที่เป็นตัวเชื่อมสองฝั่งของหมู่บ้านโดยมีน้ำตกไหลผ่านจากภูเขาด้านบน คนที่นี่หน้าตาไม่จีนจ๋า แต่ก็ไม่อินเดีย มีความลูกผสมค่อนข้างสูง น่าจะเป็นอินเดียกับทิเบต ไม่ก็ทิเบตปากี มีความซับซ้อนเล็กน้อย
เนื่องจากกองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกเราจึงหาอะไรกินกันก่อนออกเดินทางอีกครั้ง เราข้ามสะพานไปอีกฝั่งแล้วเจอร้านอาหารน่ารักร้านหนึงชื่อ.. จะบอกว่าเราไม่รู้เลยว่าชื่อเมนูอะไรอร่อยบ้าง แค่มีผัดหมี่อันนึงอร่อยมาก คือถ้ามาจะมากินอีกแน่นอน อาหารกินได้มีความคล้ายอาหารจีนเล็กน้อย
สิ่งที่ต้องมาทำที่หมู้บ้านนี้คือมากิน Apricot ที่หวานอร่อยมาก ถ้าเดินเข้าไปในหมู่บ้านจะพบว่ามีต้น Apricot เต็มไปหมด สามารถหยิบกินได้ ชาวบ้านที่แสนใจดี มักจะเขย่าต้นให้มันตกลงมาเพื่อให้เราได้กิน สีส้มทั้งต้นน่ากินเว่อ กฏของที่นี่คือห้ามถ่ายหน้าของชาวบ้านที่นี่เนื่องจากกลัวเรื่องความปลอดภัยของชาวบ้าน เราเลยได้ภาพแค่ภาพด้านหลังเท่านั้น
เชื่อว่าที่นี่ยังมีวิวสวยๆอีกมาก แต่เราเดินไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะเรามีที่ต้องรีบไปต่อและไกลจากที่นี่มาก เราเลยได้เห็นที่นี่แบบผิวเผินเท่านั้น จากนั้นเราเดินไปตามทางเพื่อไปดูวิวมุมสูง ที่ก็ไม่สูงเท่าไหร่ แถมวันนี้มีหมอกบนภูเขาทำให้ไม่สามารถเห็นยอดภูเขา K9 ได้ เสียดายไปอีก มาที่นี่เราเจอทัวร์เกาหลีด้วยนะ น่ารักมาก แถมที่นี่ก็ทันสมัยรู้ว่าสมัยนี้เค้าเล่น Instagram มี้ายให้ภ่ายพร้อม Hashtag โปรโมตหมูบ้านกันไป
พวกเรากลับกันไปด้วยความเสียดาย ถ้าคราวหน้ามาอีกจะมาค้างซักวันแน่นอน (ป.ล. ทริป Turtuk ต้องเสียตังเพิ่มด้วยนะจ๊ะเพราะความไกลเว่อวังของมัน) หลังจากนี้เราออกเดินทางยาวมากก ย้ำว่านานสุดในทริปแล้วจ้า 555 รู้สึกสงสารพี่ยูมาก แต่นางก็ไม่เคยปริปากบ่น หรือไม่รู้จะบ่นยังไงหว่า
-Pangong Lake-
ที่ต่อไปที่เราจะไปคือ ทะเลสาบ Pangong ที่ๆใครก็อยากจะมากัน ที่นี่เป็นทะเลทราบน้ำเค็มที่สูงและกว้างที่สุดในโลก มีความสวยงามมาก คิดแล้วมันก็มหัสจรรย์มากนะ ที่ทะเลทรายใหญ่ขนาดนี้อยู่ในภูเขาได้ยังไง แถมยังมีแร่ธาตุเยอะมากจนน้ำหลายเป็นสีฟ้า คือสวยงามจริงๆ ประทับใจเว่อ
ตอนแรกทางเราก็เรียบๆอยู่แหละ จนพอซักพักแล้วทางเริ่มวิบากขึ้น ถนนไม่มี แถมต้องข้ามน้ำ โอ้ มาย ก๊อตต รถเรายังดี แต่มอเตอร์ไซต์หลายคันเดี้ยงไปเลยจ้า เพราะต้องเจอทั้งน้ำ ทั้งหิน ทั้งน้ำ ทราบ อะไรสารพัด สงสารเหมือนกันนะ เอาจริงๆสงสัยมาก เค้าไม่เมื่อยก้นกันบ้างหรออ บางคนต้องจอดขอความช่วยเหลือ เศร้าแทนว่าแล้วเค้าจะมากันเมื่อไหร่เพราะมันไกลขนาดนี้ แต่เราก็ต้องขับผ่านไป เพราะช่วยอะไรมากไม่ได้ นอกจากพี่ยูให้คำแนะนำ เดาเอาเพราะเค้าพูดภาษาฮินดูกัน ระหว่างทางพวกเราก็ซากรถที่ตกลงไปข้างล่างด้วยนะ น่ากลัวมั้ยหละ.. 555 ก็ได้แค่หวังว่ารถที่คาตรงหน้าผาจะมีคนหนีออกมาได้นะ
ผ่านไป 4 ชั่วโมงได้ ถึงตรงทางเข้า ซึ่งต้องมีการตรวจตราโดยทหารและซื้อบัตรเข้าไป ซึ่งจากตรงด้านหน้าเข้าไปเนี่ยอีกประมาณ เกือบชั่วโมงนึงได้เลยจ่ะ ขับไปเรื่อยๆเราเจอค่ายทหารค่อนข้างเยอะระหว่างทาง และเจอทหารเดินเป็นขบวนเลย ไม่รู้เดินจากไหน พวกพี่เค้าจ้องเราตลอดเพราะพวกเราไม่ใช่คนอินเดีย ล่ำๆกันทั้งนั้น 555
_________
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่เราเห็นวิวลางๆ ซึ่งสวยมากๆ แสงพระอาทิตย์สีส้มกระทบกับฟ้า ข้างล่างมีหญ้าสีเขียวอยู่เยอะ เราเห็นตัวยักกำลังกินข้าวอยู่ น่ารักมากก ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ พระจันทร์ขึ้นดวงใหญ่สวยมาก ถ่ายยังไงก็ไม่สวยเท่าของจริง วันนี้เราจะนอนกันที่ทะเลสาบแห่งนี้ค่ะ โดยทางได้เตรียมโรงแรมเป็นโรงแรมเต้นท์ ชื่อ Ladakh Summer Camp ซึ่ง Stanzin เป็นคนติดต่อให้ ซึ่งดีผิดคาดมาก! เราเข้าในเต้นท์ของเราแล้วต้องร้องโอ้โหเลย เนื่องที่พักของเราอยู่ใกล้น้ำทำให้มีอากาศที่หนาวเย็น หนาวจริง มีลมด้วย ข้างในเต้นท์จึงบุด้วยผ้าหนาๆ ที่นอนก็อุ่นสบายมากๆ คือดูดีเว่อวังมาก มีห้องน้ำส่วนตัว ซึ่งก็ไม่แย่เลย คือโอเคมาก มีน้ำร้อนด้วยย มองออกไปนอกเต้นท์ก็จะเห็นวิวทะเลสาบบ ถึงแม้จะไม่ใช่เต้นท์หน้าสุด แต่เราก็เห็นชักมาก และสามารถเดินลงไปที่ทะเลทสาบค่อนข้างง่าย ถูกใจสุดๆจ้าา
หลังจากตื่นเต้นกับที่พัก พวกเรารีบลงไปกินข้าวที่ร้านอาหารของโรงแรม เพราะเรามาถึงสองทุ่มกว่า ครัวกำลังจะปิด อาหารค่อนข้างโอเคเลย มีเยอะด้วย กินได้หลายอย่าง จากนั้น เราก็ไปเดินเล่นที่ทะเลสาบด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืน เรายังไม่เห็นอะไรมาก แต่แสงของดวงจันทร์ที่สะท้อนส่องลงมาก็ทำให้เราเห็นภูเขาด้านหลังลางๆ และความกว้างใหญ่ของทะเลสาบคือสวยมากจริงๆ
คืนนั้นด้วยความเหนื่อยล้าเราก็หลับกันไปประมาณห้าทุ่มเพราะตอนเช้าเราอยากจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นและมาดูความสวยของทะเลสาบในตอนเช้า
Day 10: ทะเลสาบสวยพิคาด
Places To Go:
l Pangong Lake l Back To Leh l
ตื่นมาตอน ตี 5 ครึ่งจ้า เราและเพื่อนอีกคนนึงตื่นมาตอนเช้าเพื่อจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนเพื่อนอีกสองคนยังสลบสไลอยู่ ตื่นมาไม่ไหวจากความเหนื่อยเมื่อวาน เสียดายวันนี้เมฆเยอะ ท้องฟ้าไม่เปิดเท่าไหร่ เลยเห็นแสงพระอาทิตย์ลอดออกมาจากเมฆมาแค่นิดเดียว อดเห็นพระอาทิตย์กลมโต เราเพื่งเห็นว่าภูเขาด้านหลังของเรามีหิมะปกคลุมอยู่โดยรอบ เป็นภูเขาสูงที่สวยมาก ไม่อยากเชื่อว่าเราจะมายืนอยู่ตรงนี้ คือสวยมากมาย
เรานั่งดูวิวไปเรื่อยๆ พยายามจะซึมซับบรรยากาศเข้าไปให้ทั่วจิตใจ ซักพักเจอคุณลุงคนนึงเดินมาทัก ตอนแรกนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่นี่ เพราะคุณลุงใส่เสื้อสีส้มเรืองแสง แถมเป็นเหมือนเสื้อเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่มากก สรุปว่าคุณลุงเป็นคนไทย เล่าให้ฟังว่ามาจากเดลีขับรถผ่านแคว้นแคชเมียร์กันมาถึงที่นี่เป็นเวลาประมาณ 10 กว่าวันแล้ว ที่นี่คือที่แวะสุดท้ายของคุณลุงและเพื่อน จากทุ่งหญ้าสีเขียวในแคชเมียร์มาถึงที่ราบสูงแทบจะไร้ความเขียวของเลห์ มันจะต้องสวยมากแน่นอน เราคุยกับคุณลุงซักพัก จากนั้นก็ลาจากกันไป
หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปซักพักแล้ว เราเลยไปกินอาหารเช้ากัน วันนี้พวกเราจะต้องกลับไปเลห์ เพื่อจะต้องบินกลับในวันรุ่งขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากๆ เผลอแปปเดียวก็เป็นวันท้ายทริปของพวกเราแล้ว
หลังจาก Check-out ออกจากเต้นท์ เรานั่งรถไปกลับไปทางเก่า แต่ก่อนจะออกจากทะเลสาบเราจอดชมวิวกันครั้งที่สุดท้าย เป็นจุดชมวิวที่ทุกคนต้องมาแวะพร้อมลานกิจกรรมต่างๆ ไหนจะปาเป้า ขี่ตัวยัคและอีกมากมาย
Landscape ของที่นี่สวยงามมากจริงๆ ใครจะไปคิดว่าในภูเขาสูงที่ซ่อนอยู่ (แถมเดินทางลำบากอย่างแรง) จะสวยได้ขนาดนี้ รู้สึกซูฮกคนที่สำรวจที่นี่เจอมาก มาเจอได้ยังไงเนี่ยย
_________
เราเตรียมโบกมือลาทะเลสาบแสนสวยนี้ กลับเข้าเมืองเลห์เป็นครั้งสุดท้าย เรามองทะเลสาบไปตามทางจนละสายตา
…แล้วชั้นจะกลับมาใหม่…
ระหว่างทาง เราเจอหุบเขาสวยมากก เราเลยขอพี่ยูแวะแป๊ปนึงถึงแม้ว่าเรากำลังเลทแล้วก็ตาม 555 ข้างล่างมีตัวยัคกำลังกินหญ้ากันอย่างเมามัน จนไม่เห็นหัวมนุษย์หน้าไหนที่เข้าใกล้ทั้งนั้น
แถมด้วยขากลับรถติดยาวเพราะทำถนน เล่นไพ่ นอนหลับอันไปยาวๆเลยจ้าา
Landscape สวยๆระหว่างทาง จะไม่ให้หลงรักได้ไง <3
เรากลับเข้าเมืองเลห์ในตอนบ่ายแก่ๆ เข้ามาในเมืองเป็นครั้งสุดท้าย เดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ของที่นี่ เฝ้ามองผู้คน ซื้อของฝาก ในหัวมีความคิดมากมาย องค์ดาไลลามากำลังจะมาเยือนเลห์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่เราจะต้องขึ้นเครื่องบินกลับไปเดลีแล้ว คลาดกันนิดเดียว น่าเสียดาย คิดซะว่าเรายังไม่บุญวาสนาจะได้เจอกับท่าน หรืออาจจะเหลือเป็นสิ่งที่เราต้องคิดทบทวนให้กลับมาเยือนที่นี่อีก..
Day 11
Back to Bangkok กลับบ้านเรา งานรออยู่..
Places To Go:
l Dehli l Bangkok l
และแล้วการเดินทางในอินเดียของเราเป็นเวลา 11 วันในประเทศอินเดียก็จบด้วยประการฉะนี้ สิ่งที่เราได้รับจากการเดินทางนี้มีมากมาก ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หลายๆอย่างที่จะไม่มีวันลืม มิตรภาพ ความทรงจำ ความสวยงาม มีสิ่งหลากหลายเหลือเกินในอินเดียที่ยังมีเสน่ห์ต่อการค้นหาจนอยากให้เรากลับมาอีก และการเดินทางเกือบจะจบอย่าง Perfect ที่สุด ถ้าเราไม่ต้องค้างเติ่งอยู่ที่เดลีประมาณ 8 ชั่วโมงเพราะเราเช็คอินตอนเช้า ( เครื่องออกตอนเย็น) แล้วทางสนามบินไม่ยอมให้เราออกจ้า! ความรู้สึกคงเป็นเหมือนหนัง The Terminal เดินไปเดินมา ทุกซอกทุกมุม จนเหนื่อยกับการรอขึ้นเครื่องไปแล้ว
_________
การเดินทางในอินเดีย ถึงจะเจอความยากลำบากบ้าง ไม่ตรงแผนบ้าง แต่ความสนุกมันบดบังความผิดแผนของเราไปได้บ้าง ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทางดีๆที่ได้มาแชร์ความทรงจำร่วมกันด้วยนะ:)
Very good blog,thank so much for your time in writing the posts.