India Episode 1: Jaisaimer – Exclusive Desert Place
อินเดีย แหล่งรวมสีสัน วัฒนธรรมและธรรมชาติที่สวยงามมาก การเดินทางครั้งนี้ประกอบด้วยเพื่อน 4 คนที่บางคนมาเจอกันเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำและได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในอินเดียแบบที่ลืมไม่ลงแน่นอน จากการวางแผนวันแรกถึงวันสุดท้ายมันเป็นอะไรที่สนุกมาก ทุกอย่างคือความแปลกใหม่ มันคือ ประเทศ อินเดียนี่เองละจ้า
เนื่องจากเราไปมาหลายเมือง เราจึงค่อยๆเขียนเป็น episode ไปสำหรับการเดินทางครั้งนี้ โดยเราเริ่มจากการบินไปที่ Jaipur บินต่อไป เมือง Jaisamer นั่งรถไฟกลับมา Jaipur นั่งรถไฟไป Dehli ขึ้นเครื่องบินไป Leh Ladakh บินกลับไป Dehli ก่อนที่จะกลับกรุงเทพ ดูมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนในการเดินทางของเราแบบสมบุกสมบันมากกก โดยเราจะเขียนเรื่องราวที่แรกของเราก่อนคือ เมือง Jaisalmer นั่นเองจ้าา
-JAISALMER-
ชื่ออาจจะฟังดูไม่ค่อยคุ้นเคยกันว่ามันคือที่ไหน มาทำอะไรกันที่นี่!?! ที่นี่คือเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในราชาสถานที่ติดกับประเทศปากีสถาน มีชื่อเล่นว่า “Golden City” หรือ เมืองสีทองนั่นเองเพราะสิ่งก่อสร้างที่นี่จะเป็นสีเหลืองทองกันทั้งเมือง แต่ก่อนเป็นเส้นทางการค้าขายที่มั่งคั่งมาก จนมีมหาเศรษฐีอยู่ที่นี่เยอะ จนมีคฤหาสน์สวยๆที่เรียกว่า Haveli เต็มไปหมด แต่พอมุมไบกลายเป็นเมืองการค้าที่ใหม่ ที่นี่จึงกลายเป็นเมืองที่ถูกลืมไปซะงั้น ท่ามกลางทะเลทราย Thar ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการมา desert safari กับทะทรายที่สวยงามกับราคาที่ประหยัดเว่อแบบไม่ต้องชายตามองดูไบอีกต่อไป และจุดมุ่งหมายของเราในเมืองนี้คือการไปนอนกลางทะเลทรายท่ามกลางดวงดาวกันนั่นเอง!
ทำไมต้อง Jaisalmer?
Jalsaimer เป็นเมืองติดชายแดนระหว่างปากีสถานกับอินเดีย ที่โด่งดังในเรื่องของทะเลทรายและเมืองที่สวยงาม มีภูมิทัศน์แตกต่างจากเมืองอินเดียที่เราคุ้นเคย มีป้อม Jaisaimer Fort ที่สวยงามและยิ่งใหญ่ตั้งอยู่กลางเมือง และนี่คือหนึ่งในรูทที่มีคนทำจำนวนหนึ่งในทริปเดียวกับการไปเลห์ลาดักอีกด้วย ไฮไลท์ที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการได้ไปนอนกลางทะเลทรายกลางแจ้ง ดูดาวสวยๆ ในราคาคนละไม่เกิน 800 บาทไทย ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าเว่อวัง อยากให้ไปลองกันซักครั้ง
ไป Jaisalmer ช่วงไหนดี
ช่วงที่อากาศดีและเมืองสวยที่สุดคือช่วงปลายปีไปถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะไม่ค่อยแนะนำช่วงที่เราไปเท่าไหร่เพราะเราไปช่วงฤดูร้อน ซึ่งจะร้อนจัด และป้อมปราการไม่เปิดไฟเนื่องจากเป็นช่วง Low Season จึงทำให้เราอดเห็นแสงสวยๆที่ส่องไปทั่วเมือง อาจจะต้องเลือกระหว่างจะไปเลห์ช่วงพีคหรือไป Jaisalmer ในช่วงที่ดีที่สุดเพราะอากาศจะต่างกันค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้แย่มากขนาดนั้น แต่ถ้าเจออากาศร้อนมากๆก็น็อคได้อยู่เหมือนกัน
ขอเล่าคร่าวๆเกี่ยวกับการเตรียมตัวให้กับผู้ที่ไม่เคยไปอินเดียมาก่อนหรือจะไปอีกหลายๆรอบ
การขอวีซ่าอินเดียด้วย E-Visa
เราได้ขอ E-Visa ของ India เอาไว้ซึ่งมีขั้นตอนง่ายมากก และราคาถูกกว่าการทำตรงกับสถานทูตประมาณเท่าตัว แต่ E-Visa สามารถใช้ได้กับแค่บางเมืองเท่านั้น ซึ่งหลักๆจะอ้างอิงเมืองแรกที่เราไปถึง ซึ่งเราไปลงที่ Jaipur ซึ่งเป็นเมืองที่สามารถขอ E-Visa ได้ค่ะ ค่าวีซ่าอยู่ที่ประมาณ 2,800 บาทต่อคนสำหรับราคาล่าสุด อันนี้แล้วแต่บัตรเครดิตชาร์จไปเท่าไหร่ด้วยเนอะ
**ลิ้งค์หลอกมีเยอะมาก ระวังพวก Agency บางครั้งโทรมาหาเลยจ้า ให้ใช้ลิ้งค์นี้ในการจอง E-Visa กับทางสถานทูตเท่านั้น
ลิ้งค์ไปขอ E-Visa >> https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html
ลิ้งค์ดูรายชื่อเมืองที่ใช้ E-Visa ได้ (ดูจากเมืองแรกที่เราบินลง) >> https://www.tripsavvy.com/india-e-tourist-visa-information-1539765
สิ่งที่ต้องใช้
- ภาพถ่าย พื้นหลังสีขาว ขนาด 1 x 1 ไฟล์.jpg นะจ้ะ (ถ่ายภาพจากมือถือธรรมดาก็ได้)
- หน้าสแกนพาสปอร์ตแบบไฟล์ PDF
- บัตรเครดิต visa / master card
สำหรับขั้นตอนการขอวีซ่าแบบละเอียดเข้าลิ้งที่ได้เลยจ้า จากบล๊อค Goanywhere: https://goanywhere.co/2017/11/22/indiaevisa2017/
การขอวีซ่ากับสถานทูตอินเดีย
สามารถขอที่สถานที่ทูตได้เลยโดยนำเอกสารเกี่ยวกับการเดินทาง โดยค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 4,100- 4,500 บาท
ซึ่งมีความยุ่งยากกว่าและได้เตรียมเอกสารที่เยอะกว่ามาก
**เช็คขั้นตอนการขอวีซ่าทั้งสองแบบและข้อมูลอย่างละเอียดเข้าลิ้งที่ได้เลย: https://www.skyscanner.co.th/news/how-to-apply-india-visa-2017
การเดินทาง จากประเทศไทยไป Jaisalmer
จาก Jalsaimer เราไม่มีบินตรงจากประเทศไทย ต้องไปต่อเครื่องที่ไจปูร์ หรือเดลี ก่อน แนะนำให้ไปลง Jaipur เพราะราคาค่าตั๋วถูกกว่าจากเดลี เราจองตั๋วเครื่องบินจาก Air Asia เอาไว้เพื่อบินไปไจเปอร์ และต่อเครื่องภายในประเทศ ของสายการบิน Spice Jet ไปที่จัยซัลเมียร์ ด้วยเครื่องบินใบพัด ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราได้ลองนั่ง มีความตื่นเต้นเว่ออ ตอนนี้จากไฟลท์จากไจปูร์ไป จัยซัลเมียร์ มีแค่ไฟลท์เดียวต่อวันเท่านั้น ซึ่งแต่ละช่วงเวลาบินก็เปลี่ยนกันไป ตั๋ว one-way ราคาประมาณ 1,300-1,400 บาท ส่วนถ้าใครไปจาก Dehli ก็สามารถบินตรงไปจัยซัลเมียร์ได้เช่นกัน ในราคาประมาณ 3,000 บาท
ของที่ควรเอาไปเมื่อไปนอนกลางทะเลทรายที่ Jaisalmer
ด้วยความที่เราไม่ได้นอนโรงแรมติดแอร์สะดวกสบายแต่ไปนอนกันกลางทะเลทราย เลยต้องมีอุปกรณ์ให้พร้อมดังนี้
ทิชชู่เปียก – เวลาไปเข้าห้องน้ำตามพุ่มไม้ละเช็ดตัวเพราะไม่มีที่อาบน้ำ
ร่ม – เอาไว้บังเวลาเข้าห้องน้ำได้ดีมาก
ผ้าปิดปาก – ปิดไม่ให้ทรายเข้าปากเวลานอนตอนกลางคืน เรากินทรายไปเยอะมากตอนตื่นมา
ที่อุดหู – เสียงลม เสียงอูฐกินหญ้า พกมาไว้หลับบายแน่นอน
ไฟฉาย – ทะเลทรายมืดมากก ยกเว้นว่าวันนั้นจะมีพระจันทร์ พกไฟฉายเวลาเดินไปหาห้องน้ำหรือส่องนู่นนี่
แบตสำรอง – ชาร์ตมาให้เต็ม ไม่มีที่ไหนให้เสียบนะจ๊ะ
เสื้อหนาว – เผื่อในช่วงที่ไปหนาว ควรเอาไปเผื่อด้วย
จากสนามบินดอนเมืองสู่ไจปูร์
เราจองตั๋วเครื่องบินจาก Traveloka เพราะมีโปรบ่อยๆ ใช้คูปอง Promo แล้วคุ้มมาก แถมเพื่อนบางคนไม่มีบัตรเครดิตก็จ่ายเซเว่นกันไปชิวๆนะจ้า
วันนี้เราบินกันเป็นเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นการไปเที่ยวที่มีความดิ้นรนตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องเนื่องจากคนที่ดอนเมืองเยอะมากจ้า ขนาดเข้าแถวต่อเช็คอินกันได้เรียกได้ว่าเกือบชั่วโมง T_T ตอนนี้เช็คอินเรียบร้อย อีก 10 นาทีคือเรียก boarding แล้ว immigration ก็ยังไม่ได้ตรวจ กระเป็าก็ยังไม่ได้เช็ค มีอาการสติหลุดกันเรียบร้อย 555 สุดท้ายทุกคนเรียกว่าใส่เกียร์หมา ขึ้นเครื่องแบบเหงื่อตกกันไป แนะนำเลยว่าจะมาดอนเมืองมาล่วงหน้านายๆเลยจ้า 3 ชั่วโมงเลยก็ได้ สนามบินช่วง 4-8 โมงเย็นคนเยอะเหลือเกินน
ถึงไจปูร์
หลังจากบินอยู่ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งกับความวุ่นวายบนเครื่องของคนอินเดีย ได้ยินกิตติศัพท์มาเยอะ รู้สึกถึงของจริง และเทรนด์ selfie ของคนอินเดียที่มาแรงมากก คุณพี่จะถ่ายแต่เครื่องบิน ไม่ยอมขึ้นเครื่องกันแล้วค่ะจุดนี้ 555
เนื่องจากไฟลท์ Jaisalmer จะบินอีกในวันรุ่งขึ้น เราเลยจองโรงแรมหนึ่งคืนไว้นอนที่ไจปูร์ และแพลนที่จะเที่ยวกันในเมืองนิดหน่อย เนื่องจากไฟลท์เราเป็นไฟลท์บ่าย เราจองโรงแรมชื่อ Hotel Siler Pride ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินมาก มี Free Shuttle รับ-ส่งที่สนามบินด้วย ทำให้สบายกับการเดินทางในตอนดึกมาก อยากจะแนะนำเลยเพราะราคาไม่แพง สะอาด ห้องกว้างมากก พนักงานก็น่ารักมากเช่นกัน คือเป็นโรงแรมในอินเดียที่เรารู้สึกว่าโอเคมากในการมานอนหนึ่งคืนเพื่อทรานซิทที่เรามั่นใจว่าเวิคและสะอาดแน่นอน เราจองผ่าน booking.com สามารถคุยกับเค้าเครื่อง shuttle bus ได้เลย ทางโรงแรมจะถือป้ายชื่อเอาไว้ตอนเราออกมาหน้าประตู
การสั่งอาหาร Delivery India
ด้วยความที่พวกเราหิวมากจากไฟลท์ที่เรามาไม่มีอาหาร กว่าจะมาถึงก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ร้านอาหารก็ไม่มี โรงแรมเลยแนะนำให้เราใช้เข้าเว็บที่ชื่อว่า Zomato มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย + เมนูอาหารให้สั่งได้เลย เราสามารถเลือกได้ว่าจะจ่ายเงินสดหรือจ่ายบัตร คล้ายๆ foodpanda, Lineman บ้านเรา เราเซฟๆตัวเองในวันแรกด้วยข้าวผัด จำได้ว่าราคาถูกมากจนน่าตกใจแต่ได้ข้าวมาเยอะมาก แต่ไม่มีเนื้อสัตว์ใดๆ หลังจากสวาปามอาหารกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาแยกกันไปนอนตอนประมาณตี 4 555
Day 2: Jaipur Half Day Tour
ตอนเช้าเราตื่นมาไม่เช้าไม่สายมาก ลองมากินอาหารเช้าแบบสไตล์อินเดียกันหน่อย มีให้เลือกไม่มากแต่เป็นบุฟเฟ่ต์ พอกินได้อยู่ ส่วนใหญ่จะเน้นแป้ง เป็นพวกแซนวิซไส้แตงกวา กับแป้งนาน แกงอะไรไม่รู้ ส่วนผสมหมักเป็นถั่ว ยังไม่เจอเนื้อสัตว์อีกแล้วนะจ๊ะมื้อนี้
เนื่องจากมีเวลาเหลือนิดหน่อยในช่วงเช้า เราจึงเหมาตุ๊กๆ อินเดียไปเที่ยว ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเราน่าจะโดนโกงเพราะแพงเหลือเกิ๊นน ฮือ ถึงแม้จะถูกหลอกไปบ้างแต่ตุ๊กๆที่นี่มีความผาดโผนใช้ได้อยู่ ตลกดี เป็นประสบการณ์ที่น่าลองซักรอบ
Albert Hall Museum
วันนี้เราจะไปเริ่มกันที่ Albert Hall Museum ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ควรค่าแก่การมาเมื่อมา Jaipur เพราะที่นี่เป็นพิพิธภันฑ์ที่รวบรวมศิลปะ ของเก่าแก่ของชนกลุ่มน้อย เป็นพิพิธภัณฑ์สถานที่เก่าแก่และสำคัญมากของอินเดีย ที่สำคัญ ที่นี่สวยมากเว่ออ โดยได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยธรรมของอังกฤษ ใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมง-ชั่วโมงครึ่งก็น่าจะโอเคอยู่
ข้างในค่อนข้างเคร่งเรื่องการถ่ายรูป จึงห้ามใช้กล้องถ่ายข้างในพิพิธภัณฑ์ แต่สามารถใช้มือถือถ่ายได้ค่ะ ข้างในแบ่งเป็นหลายโซน มีสองชั้น และมีชั้นใต้ดินอีกด้วยเล็กน้อย ถ้ามีเวลาแนะนำให้ไปเที่ยวข้างนอกอาคารด้วย สวยดี ได้เห็นนกพิราบเป็นฝูง ถ่ายรูปสวยด้วยน้า ช็อตสวยเว่อ
Albert Hall Museum
ค่าเข้า: 300 รูปี สำหรับนักท่องเที่ยว 150 สำหรับบัตรนักเรียน ถ้าเข้าช่วงกลางคืนบัตรลดเหลือ 100 รูปี
เวลาปิด-เปิด: 9.00-17.00 และ 19.00-20.00
ข้อมูลเพิ่มเติม: http://alberthalljaipur.gov.in/pages/display/31-getting-here/31
จากเมืองชมพูไปสู่เมืองสีทอง
ตอนแรกพวกเรากะจะไปหาร้านอาหารกินแต่เวลาไม่พอซะแล้ว สรุปไปได้ที่เดียวต้องรีบกลับไปเอาของที่โรงแรมเพื่อไปสนามบิน จราจรแอบหนาแน่นอยู่เหมือนกัน มีปิดถนนเพราะมีขบวนเลือกตั้งมากมาย วันนี้เลยได้มาเห็นการเลือกตั้งในอินเดียด้วย เข้มข้นกันใช้ได้ ผู้คนขี่มอเตอร์ไซต์โบกธงกันเยอะมาก
ขอเกริ่นก่อนว่า เที่ยวบินของเราก่อนหน้านี้ถูกแจ้งว่ามีการเปลี่ยนแปลงเวลา จากที่จริงๆเราควรจะถึงที่ Jaisalmer ประมาณ เที่ยงครึ่งกลายเป็นว่าไปถึงสี่โมงกว่าแทน โชคดีว่าได้คุยกับทางทัวร์ก่อนและสี่โมงยังเป็นเวลาที่ทันอยู่ แต่ก็ต้องรีบนิดนึงก่อนฟ้ามืด เที่ยวบินนี้เราบินไปกับ Spice Jet ค่า สายการบินเพียงหนึ่งเดียวและเวลาเดียวจาก Jaipur โดยเครื่องบินจะเป็นแบบเครื่องบินใบพัด เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเราเลย แต่รู้สึกไม่น่ากลัวนะ คือโอเคมาก ที่นั่งสบายด้วย เราใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่งก็มาถึง Jaisalmer
อยากถ่ายสนามบินมาให้ดูมากแต่เค้าไม่ให้ถ่ายทางข้างนอก สนามบินที่นี่จิ๋วมากๆแต่เพดานสูงเป็นโถงใหญ่ ออกมาจากอาคารสนามบิน รู้สึกถึงความเวิ้งว้างในทะเลทรายเลยทีเดียว คือมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ 5555 ในที่สุดเราเจอชื่อเรากับพี่คนขับมาพร้อมป้าย มากับผู้ชายอีกคน ที่เหมือนหลุดมาจากหนังอะลาดิน พวกเค้าช่วยเราถือกระเป๋ากันไปขึ้นรถ เดินไปซักพักก็ถึงรถของเรา แบบเฮ้ยยย! มันคือ อินเดียน่า โจนนส์ชัดๆ สภาพรถจี๊บคือเตรียมบุกทะเลทรายของจริง รอยนู่นนี่ กระจกแตก คือมาหมด คือสมบุกสมบันเหมือนในหนังมาก เอาจริงๆพวกเราตื่นเต้นที่ได้นั่งรถจี๊บมาก เตรียมพร้อมลุยทราย (และไม่ได้อาบน้ำ) กันแบบเต็มที่แล้ว
ข้อมูลเกี่ยวกับทัวร์
ทัวร์นี้เราได้มาจากพี่ของเพื่อนอีกคนที่จองมาก่อนหน้า ราคาแค่ 800 กว่าบาทต่อคนรวมทุกอย่างแล้ว ความคุ้มและถูกมันมีอยู่จริงงง ใครต้องการจอง ติดต่อไปได้ที่อีเมลนี้เลย sahara_travels@yahoo.com คุยกับ คุณ Aniket ได้เลย ส่วนเว็บไซต์เค้าตอนนี้ไม่มีต้องติดต่อทางอีเมลอย่างเดียวเลย
รถจี๊บของเราไม่มีกระจกอะไรจะมาปิดบังเราจากอากาศและทรายได้ ทุกอย่างคือธรรมชาติล้วนๆ ระหว่างทางจากสนามบินไปทะเลทราย แทบจะไม่เห็นมีสิ่งชีวิต สัตว์หรืออะไรซักตัว คือเป็นทะเลทรายแห้งแล้งจริงๆเลย จนชั่วโมงนึงผ่านไป..
เรานั่งหน้าเพราะอยากถ่ายรูปกับดูวิวไปชิวๆเรื่อยๆ แปปนึงเจออูฐตัวเป็นๆวิ่งข้ามถนนจ้าา ตื่นเต้นมาก 555 นั่งรถไปเป็นชั่วโมงได้เราถึงจะเริ่มเห็นผู้คน หรือบ้านบ้าง ซึ่งไม่ได้มีเยอะเลย มีบ้านจิ๋วริมทางเป็นร้านขายของชำเล็กๆ น่าจะเป็น Oasis ของคนที่นี่ได้เลย ระหว่างทางเราสังเกตเห็นมีกังหันลมใหญ่ๆเยอะมาก เนื่องที่นี่มีลมค่อนข้างดี เป็นอีกแหล่งพลังงานสุดยอดของอินเดียเลยแหละ
มาแนะนำสมาชิกเพิ่มกันหน่อย พี่คนขับสุดเท่ของเราคนนี้ชื่อ เดล คุณลุงอะลาดินชื่อ ดาเดีย ซึ่งนั่งรถไปกับเราด้วย คุณลุงดาเดียนวดเท่คนนี้จะมาทำหน้าที่เป็นพ่อครัวหัวป่าให้เราในทริปนี้นั่นเองง นั่งรถไปอีกซักพักนึง เราจะต้องเริ่มการขี่อูฐไปที่ๆพักของเราแล้วจ้า ตอนนี้ตื่นเต้นสุดด ส่วนข้าวของต่างๆ พี่คนขับจะขับรถจี๊บไปรอที่ๆเราจะพักคืนนี้แล้วเพราะต้องไปเตรียมจัดของให้เรา
How to ขี่อูฐ
เรามาเจอพี่หน้าเท่อีกคนชื่อจีราร์ด เป็นคนดูแลอูฐทั้งหมดที่เราจะขี่ในวันนี้ เป็นคนอินเดียที่แบบถ่ายเค้าออกมาเหมือนจะไปเล่นหนังอินเดียตลอดเลยอ่ะ 555 ก่อนอื่นก็มีการสาธิตอ่านนั่งอูฐก่อน ซึ่งดูแล้ว มันต้องเสียวมากแน่ๆ ทำไมไม่รู้ 555
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรจนมาถึงตอนที่เราจะนั่งจริงๆ เค้าทดลองทำท่าขึ้นอูฐให้เราดู พวกเราจึงเริ่มทีละคน ตอนขึ้นอูฐขอให้แน่ใจว่าเราตั้งท่าดีแล้ว เท้าสองข้างใส่เข้าไปในที่ใส่เท้า พอพี่จีราร์ดสั่งอูฐให้ยืนไม่ต้องเกร็งตัว ให้ไปตามมันเลย ตัวเราจะเอียงไปข้างหลังนิดนึงตอนมันกำลังลุก จากนั้นก็จะยืนเร็วมาก เสียวคือตอนมันกำลังจะยืนเนี่ยแหละ 555
เราขี่น้องอูฐไปประมาณครึ่งชั่วโมง – 40 นาทีได้ จากที่มีหญ้าเยอะแยะ มีดินบ้าง เราเริ่มขึ้นเนินทรายไปเรื่อยๆ เจอแพะเยอะเหมือนกัน จนเราเริ่มไม่เจอหญ้า เจอแต่ทรายไปเรื่อยๆ เราโชคดีเรื่องอากาศเพราะจริงๆช่วงนี้คือจะร้อนมาก แต่วันนั้นฟ้าครึ้มๆ เมฆเลยบดบังความร้อนไว้กับเราได้ ดูวิวเพลินๆ เสียวๆกับการขี่อูฐไปเวลาลงเนินเสียวสุดๆ อูฐแต่ละตัวก็จะมีชื่อ อย่างของเราจะชื่อว่า captain ซักพักเจ้าอูฐทั้งหลายก็พาเรามาถึงที่พักของเราในค่ำคืนนี้ ทะเลทรายกลางแจ้งอันกว้างใหญ่จะเป็นห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา
พี่เดลชี้ให้เราดูเนินทรายข้างหน้า ให้รีบขึ้นไปถ่ายรูปดูพระอาทิตย์ตก ก่อนที่ที่นี่จะมืดจนมองอะไรไม่เห็น จะวิ่งขึ้นเนินก็ต้องใส่เกียร์หมานิดนึง ขึ้นไปแล้วสวยดี เห็นวิวกว้างมากๆ เดินไปเดินมาเจอแพะกำลังเดิน เหมือนเดิน catwalk กลางทะเลทรายมาก 555 เราเดินสำรวจทะเลทรายอยู่พักใหญ่ เจอกลุ่มอื่นขี่อูฐอยู่ไกลๆ จะบอกว่านี่เป็นทัวร์ที่ไพรเวทมากเพราะรอบข้างเรา จะแทบไม่เห็นใครเลย ไม่เห็นมนุษย์คนไหนอยู่ใกล้ๆเรา มีแค่เราและทะเลทรายแค่นี้จริงๆ เราไปถ่ายรูปจนพระอาทิตย์ตกดิน มีน้องหมาจากไหนไม่รู้มาหา มาเล่นด้วย พี่คนขับบอกว่าเป็น wild dog ไม่ได้แปลว่าเป็นหมาป่า แต่เป็นเหมือนหมาจรจัดหรือหมาที่อาศัยอยู่แถวนี้ เชื่องมากและชอบอยู่กับคน
เรากลับมาจากเนินทรายและเจอขนมขบเขี้ยวที่พ่อครัวเอกของเราทำไว้ให้ พร้อมทั้งชาหรือ Chai Tea ชานมสไตล์อินเดียที่เราชอบมากก จะบอกว่าซัดไปหลายแก้ว ดูลุงแกดีใจมากที่ของเค้าขายออก ส่วนเดลกำลังกางเตียงหรือที่นอนคล้ายๆแคร่ให้เราสำหรับที่นอนในค่ำคืนนี้ พร้อมด้วยฟูกมากมายและผ้าห่มกลางทะเลทราย ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เราทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากดูการทำอาหารกลางทะเลทราย นั่งคุย เปิดเพลงกัน
เรารู้สึกว่าตอนช่วงพระอาทิตย์ตกและท้องฟ้าเป็นสีชมพูแดงไปหมด รู้สึกเหมือนต้องมนต์มากๆ ทุกอย่างเงียบ มีแต่เสียงลม (และเสียงพวกเรา) เราอยู่ในทะเลทรายที่ไหนไม่รู้บนโลกนี่ มันรู้สึก surreal มาก คิดย้อนไปถึงเวลานี้ในกรุงเทพฯจะวุ่นวายขนาดไหน ไม่อยากคิดเลย น่าแปลกที่เวลาเดียวกัน คนละสถานที่ บรรยากาศจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้
ท้องฟ้ามืดสนิท อาหารเราเสร็จแล้ว วันนี้อาหารของเราก็ยังไร้เนื้อสัตว์ตามเคย เป็นแกงกะหรี่สีเหลือง คล้ายแกงกะหรี่ไก่บ้านเรา ข้าวและมันฝรั่งผัด ที่นี่เน้นแป้งเป็นอาหารหลัก อาจจะเรียกว่าเป็นอาหารง่ายๆที่หาได้ทั่วไป แถมมาทำกินในทะเลทราย กินแค่นี้ก็หรูละเอาจริงๆ
ทุกคนกินข้าวพร้อมกัน พร้อมไฟฉายไว้ส่องอาหาร ต้องรีบกินข้าวกันหน่อย เพราะทรายปลิวมาตามลม ซักพักจะเริ่มกินทรายเข้าไปเยอะละ กับข้าวพี่เค้าไม่ได้แย่เลย ถือว่ารสชาติโอเค แต่กินชาเยอะไปจุกมาก สังเกตว่าที่นี่ล้างจานโดนใช้ทรายทะเลทรายขัดจนจานสะอาด !?! เห็นละช็อคนิดนึง หลังจากนั้นไปอ่านมา เค้าก็บอกว่าจริงนะ มันเป็นการทำความสะอาดที่ดีที่สุด แต่ก็หวังว่าจะกลับไปล้างกันอีกรอบนะ T_T
หลังจากนั้นพวกเราเริ่มไปหาจุดปล่อยของ 555 ของแต่ละคนกันแล้ว เพื่อทำธุระก่อนเข้านอน แนะนำต้องพกทิชชู่เปียกมาเพื่องานนี้มาก ช่วยทำความสะอาดได้ดีในจุดนึงเลย
เมื่อพุ่มไม้ห้องน้ำของเรา
ทุกคนแยกย้ายไปพุ่มไม้ที่ดูปลอดภัยไร้การมองเห็น อีกอย่างที่สำคัญคืออย่าเผลอไปขุดที่ๆคนกลบไป เดี๋ยวจะเจอของดี อย่าลืมพกไฟฉายไปด้วยเพราะเราไม่รู้เราจะเจออะไรในตอนกลางคืน พยายามหาเพื่อนไปด้วยซักหนึ่งคนช่วยดูและเฝ้าทางไว้
เวลาสามทุ่ม หนุ่มสามสหายแก๊งอินเดียก็เตรียมเข้านอนเรียบร้อยแล้วจ้าา อะไรจะเร็วปานนั้น พวกเราก็จะพยายามนอนด้วยเพราะไม่มีอะไรทำ+ล้ากันมามาก พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เสียดายคืนนี้ไม่เห็นดาวเลยเมฆบังหมดแถมยังมีพระจันทร์ด้วย เรา ซึ่งเป็นคนที่หลับยากทีสุดและตื่นเต้นกับการนอนทะเลทรายครั้งแรก นอนไม่หลับจ้าา เสียงลม เสียงอูฐกินหญ้าและอะไรอีกมันดังจริงๆนะ ทำเราหลับไม่ได้จริงๆ (เป็นพวก sensitive ต่อเสียง) เราจะไม่ลืมที่จะเอาที่อุดหูมารอบหน้าแน่นอนน
มองดูดาวกลางทะเลทราย
จำได้ว่าไปๆมาตื่นมาประมาณตี 4 ทุกคนหลับหมดไม่มีใครตื่นแล้ว เราหลับๆตื่นๆตลอดเวลา จนลืมตาขึ้นมาดูดาวสวยมากๆ เมฆหายไปหมดแล้ว เราลืมตาดูดาวที่อยู่ตรงหน้านานมาก เห็นดาวตกไปหลายดวงมาก เห็นทางช้างเผือกด้วยคือดีมากก ถ้าใครไม่เห็นช่วงหัวค่ำ ช่วงตี 4 นี่เวิคมากสำหรับการดูดาวเลยคอนเฟิร์ม สรุปนอนเช้ากันไป 555 แต่ถ้าใครอยากดูทางช้างเผือกแนะนำให้เช็คเวลาขึ้นตกของเค้าด้วยเน้อ แต่ละเดือนจะเห็นได้ไม่เหมือนกัน ยิ่งช่วง พฤศจิกายนถึงมกราคมคือหมดสิทธิ์
Day 3: Back to reality
เช้าวันต่อมาเราตื่นกันมาประมาณหกโมงครึ่ง เจ็ดโมง อย่าเรียกว่านอนเลย เรียกว่างีบอาจจะดีกว่า เราหาพุ่มไม้ล้างหน้าแปรงฟัน ทำธุระต่างๆ เช้านี้แดดไม่แรง ส่วนใหญ่เมฆเยอะ เราไปเดินเล่นนิดหน่อยก่อนพวกดาเดียกำลังทำอาหารเช้าให้พวกเรา เราต้องออกเดินทางกันในวันนี้ คงคิดถึงโมเม้นต์นี้มาก แต่อยากแก้ตัวใหม่เรื่องที่ตัวเองนอนไม่หลับ
ดาเดียเตรียมอาหารให้วันนี้เป็น ชานมแสนอร่อย ขนมปังปิ้งกองใหญ่ (ไหม้ไปเยอะ) กับแยมรสชาติแปลกๆ เหมือนไม่ใช่สตรอเบอรี่และกล้วยแบบหลายหวีมาก เรากินกันแบบชิวๆ กินไปคุยไป ถ่ายรูปต่างๆ รวมถึงถ่ายรูปกับผู้ร่วมทริปทุกคน เก็บเป็นความทรงจำ จากนั้นเราขี่น้องอูฐต่อเพื่อจะกลับไปที่เดิมและกลับไปในตัวเมือง Jaisalmer ก่อนที่จะร้อนกว่านี้
เราขี่อูฐไปในระยะทางเดิมประมาณครึ่งชั่วโมง เจอแพะบ่อยมาก หมาทะเลทรายเจอบ้างตามทาง พยายามมองตรงหน้าให้ได้มากที่สุดก่อนที่เราจะต้องออกจากทะเลทรายที่นี่ ที่ๆเราคงไม่ได้มาบ่อยๆ หรืออาจจะไม่ได้มาอีกก็ได้
ในที่สุดก็ถึงเวลาบอกลากับดาเดียและพี่จีราร์ดหนุ่ม Ballywood ของเรา ส่วนพี่พี่เดลของเราจะพาเราไปส่งในเมืองที่ ที่ๆเราจองที่พักไว้เพื่ออาบน้ำ ลาก่อนเมืองทะเลทราย เราจะไปผจญภัยในเมืองกันบ้างแล้วว
จากทราย ต้นหญ้าจนเริ่มเห็นถนนเป็นจริงๆจังๆ ความวุ่นวายก็เริ่มบังเกิดเช่นกัน วัวเดินตามถนน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไฟจราจรที่มีก็ไม่ค่อยจะได้ใช้ นอกจากวัวคนเลี้ยงแพะกันเยอะมากที่เมืองนี้ เมืองนี้การก่อสร้างเป็นเป็นสไตล์การก่อปูนเป็นสีทองๆ เมืองนี้เรียกกันอีกชื่อคือเมืองสีทอง เพราะเห็นแล้วจะดูเมืองสีทองไปหมด เหมือนไจปูร์ที่ได้กล่าวขานว่าเป็นเมืองสีชมพูเช่นกัน
เราขับเข้าเมืองไปได้ซักพัก ก็ได้มาถึง Guest house ที่เราจองไว้ ราคาถูกสุดๆเพราะเราต้องการใช้สำหรับการอาบน้ำและเก็บของเพื่อออกไปเที่ยวเท่านั้น เพราะเราจะขึ้นรถไฟกลับไจปูร์ในคืนนี้ ที่พักเล็กมาก เรามีกันสี่คนเข้าไปคือเต็มห้องแล้ว โชคดีที่เราถึงตอนเช้าแต่ให้เราสามารถเช็คอินได้เลย แต่ปรากฏว่าไฟดับจ้า โชคคงไม่เข้าค้างเราเสมอไปซินะ.. สุดท้ายก็ต้องรอเพราะเราไม่สามารถออกไปในสภาพตัวเลอะทรายได้ เจ้าของโรงแรมชื่อพี่อับดุลลา ส่ง Whatsapp มาตั้งแต่เราอยู่กันที่ไทยถี่สุดๆ 555 เป็นเจ้าของใจดี ชอบคุย พาเราไปชมดาดฟ้าชั้น 4 หรือ 5 จำไม่ได้ เห็นวิวเมืองก็สวยดี ข้างบนมีเหมือนเป็นร้านอาหาร สุดท้ายได้เข้าห้องรอไฟไปก่อน ตลกดี ห้องเราอยู่ติดกับถนนซึ่งเป็นซอยเล็กๆที่แพะชอบเดิน มองออกไปเจอแต่เจ้าแพะกะขี้แพะ ไม่แน่ใจว่าถ้าเราได้นอนที่นี่กันซักคืน เราอาจจะชินกับขี้มันก็เป็นได้ ไม่ได้แนะนำให้มานอนที่นี่ แต่ถ้าแค่จะมาอาบน้ำเป็น Day Use ก็พอทน
สำหรับใครที่คงสงสัยว่าเราอยากแนะนำ guesthouse ที่นี่มั้ย เราตอบเลยว่าไม่! 5555 มันไม่มีความสะดวกสบายอะไรยกเว้นแค่อยู่กลางเมืองและเป็นที่เก็บของที่ดี ห้องน้ำค่อนข้างเล็ก สายฟักบัวมีความน่ากลัวประมาณว่าไฟอาจจะดูดได้ แต่ถ้าอยากได้แบบถูก และไม่ได้นอนข้าง ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเพราะราคาคืนละแค่ 200 กว่ารูปี ต่อคืนเท่านั้น
มาซื้อซิมโทรศัพท์ที่อินเดียกัน
เราอยากซื้อซิมโทรศัพท์จะได้หาข้อมูลการเดินทาง มีเน็ตใช้ลง Social บ้างไรบ้าง พนักงานร้านเลยอาสาไปซื้อมาให้โดยใช้ไอดีของเค้าเอง เค้าบอกว่าถ้าเราเดินดุ่มๆไปซื้อจะโดนขายแพง บอกตามตรงก่อนมาทริปนี้เรายุ่งมาก ไม่มีเวลาได้หาข้อมูลเรื่องโทรศัพท์ รู้แค่ว่ายี่ห้อไหนสัญญาณพอใช้ได้ สุดท้ายคุยกันแบบงงๆ ก็ได้ซิมมาสำหรับคนละเครื่อง แถมบางอันคนละเจ้าด้วยนะ ของเราได้เป็น Airtel มา ถือว่าสัญญาณดีใช้ได้ เน็ตใช้ได้ดี แต่ขึ้นไปเลห์บางครั้งก็มีหายนิดหน่อยเหมือนกัน อีกเจ้าที่เค้าบอกว่าดีกันคือ Vodafone สำหรับคนที่ไม่อยากยุ่งยากจะแนะนำให้ซื้อซิมจากไทย เพราะถ้าคนต่างชาติมาซื้อซิมจะมีความยุ่งยากหน่อย เดี๋ยวนี้ AIS Simfly เอย Dtac Inter เองก็มีแพกเกจให้เลือกราคาดีด้วย แต่ถ้าอยากได้ความเสถียรก็จะแนะนำให้ซื้อที่นี่ไปเลยหรือให้คนอินเดียซื้อให้จะง่ายสุด เสียกันไปประมาณ 300-400 บาทไทย แต่เน็ตได้ unlimited โอเคอยู่
ไม่นานหลังจากได้ซิม แต่ละคนเริ่มเข้าสู่ห้วงของโลกส่วนตัวหลังจากตัดขาดจากโลกภายนอกไปประมาณสองวัน ซักพักหนึ่ง ไฟก็มา เราทยอยกันอาบน้ำ แต่งตัว ห้องน้ำแคบเว่อ ส่วนฟักบัวมีความไฟช็อต 555 อันตรายเหลือเกิน T_T กว่าจะเข้าที่เข้าทางกินไปเวลาสองชั่วโมงจ้าา สุดท้ายได้ฤกษ์ออกจากที่พักเพื่อไปเที่ยวเตร่กันประมาณเกือบบ่ายโมง (ไม่มีรูปเลยเพราะมัวแต่วุ่นวาย) พวกเราเดินออกจากซอย จะลองเหมารถแบบครึ่งวันดู ได้คุณลุงหน้าตาดูผ่านอะไรมาเยอะคนนึงมากับราคาที่ตกลงกันได้ค่อนข้างดี ประมาณ 1,000 รูปีทั้งวัน (ประมาณ 500 บาท)
ที่แรกเราไปที่ Jaisalmer Fort เป็นไฮไลท์ที่สุดของเมืองนี้ ใน Fort สวยมาก ที่นี่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง Jaisalmer และมีชื่อเล่นว่า “Gold City” อย่างที่เคยบอกไป มีคนอาศัยอยู่ในป้อมค่อนข้างเยอะ มีร้านรวง ที่พักก็มี วัวก็ยังมีให้เห็น แต่เข้าไปข้างในละรู้สึกชอบมากเลย แต่วันนี้ร้อนเว่อมากก เพราะเรามาในช่วงที่ร้อนที่สุดของปีกันเลยจ้าาา (อากาศ 40 องศาขึ้นไป)
เราขอให้รถรอเราไว้ก่อน เราจะอยู่ที่นี่กันประมาณสองชั่วโมงเพราะเป็นที่ๆมีอะไรให้เดินดูเยอะสุด ก่อนอื่นเราไปหาข้าวกินก่อนที่ร้าน Shanti The Peace เป็นร้านที่เพื่อนไปเจอใน Tripadvisor ซึ่งเป็นร้านแนะนำ จะรออะไรก็ไปกินกันซิคะ!
ร้านที่อยู่ในป้อมวิวดีมาก เห็นนอกเมืองไปไกลลิบ เหมือนอยู่เป็น rooftop ของป้อม อาหารจะช้ามากเพราะมีคนทำอยู่สองคน แต่คนมากินมีหลายโต๊ะ ร้านดูสะอาด อาหารดูน่ากิน ห้องน้ำไม่แย่ด้วย
เราสั่งกันไปหลายๆอย่างเอามาลอง ค้นพบว่าตัวเองชอบกิน chicken butter มาก อร่อย อาหารที่นี่รสชาติดี สมคำล่ำลือ วิวดี ชิวมาก ลองซื้อ Lassi มากินดีอร่อยดี เป็นเหมือนนมเปรี้ยวๆแต่เราชอบนะ แนะนำให้มากินร้านนี้เวิคมาก ใครได้ไปช่วยซื้อพัดลมพกพาไปให้เค้าด้วย เค้าอยากได้ขนาดจะขอซื้อต่อเรา 555 ถ้าเอาไปขายเมืองนี้น่าจะรุ่งอยู่ ถือเป็นร้านอาหารที่เป็น life-saver ที่ดีที่ควรค่าแกการมาลอง
เราเดินต่อไปเรื่อยๆ เจอร้านรวงต่างๆมากมาย เวลาเดินต้องระวังคนวิ่งราวด้วยนะ เค้าจะชอบจ้องนักท่องเที่ยวแบบเราเป็นพิเศษ ซึ่งมักจะหลบตามซอก เดินลงมาตามทางเหมือนเป็นจตุรัสจิ๋วๆที่มี Queen’s Palace ตั้งอยู่ เป็นตึกสีเหลืองทองสวยมากๆ สามารถเข้าไปเดินชมได้แต่ต้องเสียเงิน จำราคาไม่ค่อยได้แต่ไม่ได้แพงมาก
เราเดินลัดเลาะไปอีกซักพักก็ถึงอีกที่นึงที่เราตั้งใจมานั่นก็คือ “Patwon Ki Haveli” หนึ่งในไฮไลท์ของป้อม Jaisalmer แห่งนี้ แต่ก่อนที่นี่คือคฤหาสน์เก่าซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าเศรษฐี ซึ่งจะตกแต่งสวยงามมาก ข้างในจะมีตกแต่งประดับอย่างเยอะ มีทั้งเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ ของแกะสลักในยุคนั้น สามารถเข้าไปข้างในได้แต่ถ่ายรูปไม่ได้ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามที่มาจากการแกะสลัก จริงๆมีหลายบ้านเลยแต่ที่นี่เค้าบอกกันว่าสวยที่สุด เราไม่ได้เข้าไปเพราะเจอคนตามตื้อตลอดเหมือนจะมาหลอกขายขาวต่างชาติ เลยไม่เข้าไปดีกว่า T_T ตรงกันข้ามเป็นที่นั่งมานั่งชมความสวยงามของที่นี่ ได้เซลฟี่กับคนอินเดียที่มาเที่ยวด้วย น่ารักกันมากก หลังจากนั้นไม่นานเราออกจากป้อมมาเจอคุณพี่สามล้อที่มารอรับเราอยู่แล้ว คราวนี้พี่เอาลูกมาด้วย
เราไปกันที่สุสานจำลองที่เรียกว่า Vyas Chhatri ซึ่งไม่ได้มีศพอยู่จริงแต่ทำจำลองไว้เท่านั้น ตอนแรกดูเหมือนไม่มีอะไรแต่พอเดินไปเดินมาก็สวยดี ถ้าถ่ายรูปจะกล้องหรือมือถือก็มีเก็บค่าธรรมเนียมด้วย พวกเราเลยต้องแอบๆถ่ายกันหน่อย หลุมศพมีเยอะมากก นึกสงสัยของจริงจะเยอะขนาดไหน
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เราไปเดินเล่นกันที่ Gadisar Lake ซึ่งเป็นเหมือนสวนสาธารณะที่มีทะเลสาบเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนที่นี่ มีเรือสามารถพายได้ ติดอยู่อย่างเดียวคือแถวนั้นค่อนข้างสกปรกและมีกลิ่นเหม็นมาก เลยนั่งอยู่ได้แปปเดียวก็ตัดสินใจออกมาเดินข้างนอกกัน แต่น่าจะเป็นที่มาชิวยอดฮิตทั้งมาเป็นครอบครัวและมาเป็นรัก
จริงๆวันนี้เราตั้งใจไปกินร้านอาหารร้านนึงที่เล็งไว้ตั้งแต่ก่อนมาที่นี่ ชื่อ Cafe The Kaku ด้วยรีวิวบอกว่าที่นี่วิวดี อาหารดี ดีไปหมดดด แต่ดันปิดปรับปรุงจ้าา! เราเลยต้องย้ายร้านกันแทน ใครได้มาก็แวะเข้ามาได้ ร้านชื่อ ค่อนข้างชัวร์ว่าเด็ดมาก
งานเข้าละที่นี่ พี่รถสามล้อก็ไปแล้ว ทิ้งเราสี่คนไว้แบบมึนงง สุดท้ายเลยเลือกอีกร้านนึงซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปจากที่นี่ ประมาณ 5 นาทีซึ่งแนะนำโดยคนในร้านนี้แหละ อารมณ์ว่าส่งแขกให้กัน ลองนึกสภาพพวกเราอยู่คนเนินสูงละต้องไต่ลงข้างล่างโดยพวกเค้าคอยบอกทางลัดที่มีความสมบุกสมบัน ผ่านลำธาร(คืองงมากก) ถึงแม้จะไม่ไกลเลยซักนิดแต่ทางทรหดมากคืออีกนิดนึงคงไม่เอาแล้ว ลงมาแล้วจะยังจะต้องเจอด่านคนอินเดียที่เดินมามุงๆเรา เดินเข้ามาหาเรา คล้ายๆสไตล์อินเดียมุง คงเพราะคนที่นี่คงไม่ได้เจอคนต่างชาติเยอะเท่าไหร่
ในที่สุดเราก็ขึ้นบันไดโรงแรมมาจนชั้นสาม ร้านนี้ชื่อ Romany ของ Jaisalmer วิวตรงกับป้อมพอดี สวยใช้ได้เลย เราสั่งอาหารที่พวกเราพอคุ้นเคยกันมา ไม่ว่าจะเป็น butter chicken, garlic naan และอย่างอื่นอีกมากมาย ตอนนี้พวกเราเริ่มจะเซียนกันมากขึ้นแล้ว
นั่งรออยู่พักใหญ่ ไฟก็มืดแล้ว แต่ไฟป้อมปราการยังไม่ค่อยเปิด จนถามเจ้าของร้าน ได้ความว่าช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว ไฟเลยไม่เปิด T_T จะไปเปิดอีกที high season หรือ กันยายนเป็นต้นไป เพราะอากาศจะเริ่มหนาว คนจะมาเที่ยว นอนซาฟารีกัน นะจ้าา ได้อย่างก็เสียอย่างละเนอะถ้าคิดจะเที่ยวรูทนี้ตอนนี้
ประมาณสามทุ่มเราเดินออกจากร้านเพื่อไป Guesthouse ของเราอยู่ไม่ไกลสามารถเดินกลับได้ ต่างคนต่างรีบเก็บของอาบน้ำเพราะเราจะต้องรีบไปขึ้นรถคืนนี้เพื่อจะมุ่งหน้ากลับไป Jaipur โรงแรมยังใจดี พาเราไปส่งที่สถานีรถไฟ เราเลยให้เงินเค้าไปนิดหน่อยด้วย มีทหารเดินไปมาเยอะมาก เนื่องจากที่นี่ติดเขตชายแดนจึงต้องมีการตรวจความปลอดภัยแบบรัดกุม
ตรงทางเข้ามีขอทานนอนหลับอยู่เป็นกลุ่มๆ ที่นี่สถานีรถไฟไม่ใหญ่ทำให้เดินหาอะไรค่อนข้างง่าย เรานอนรถนอนแบบ 2nd tier ขึ้นไป เลยมีห้องรับรองให้เราได้ไปนั่งรอด้วย ลองกินไอศกรีมของยี่ห้อ Amul มาก็ใช้ได้อยู่ เหมือนจะเป็น Dairy brand ที่สำคัญมากของที่นี่ ขนาดมีหนังสือที่ย้อนประวัติศาตร์ความเป็นมาของแบรนด์นี้เลย
เพื่อนบอกว่าในสถานีรถไฟเราสามารถหาชื่อของเราเองเป็นภาษาฮินดูได้ แต่ไม่รู้จะไปหาจากตรงไหน ถ้าเจอคงเจ๋งมากก ประมาณเที่ยงคืนรถไฟขบวนที่เราต้องขึ้นมาถึงแล้ว ด้วยความที่เป็น tier สูงเราจึงไม่ต้องไปแย่งกับโบกี้ปกติที่วิ่งเข้ารถจนรถไฟแทบจะพัง เรามีตัวเลขที่นอนชัดเจน อยู่ในมุมเดียวกัน ความแปลกใจแรกของการมาเห็นรถนอนของอินเดียที่จินตนาการไว้และไม่ได้คาดหวัง กลับดูดีกว่าคิดเยอะ ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่แต่รู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนตัว บางคนก็มีนอนมาจากที่อื่นแล้ว ที่รอจะไปลงที่อื่น หัวเตียงมีปลั๊กประมาณสองหัว สามารถชาร์จแบตได้ มีหมอน ผ้าห่ม แต่บางเตียงก็เหมือนไม่มีคนทำความสะอาด
การเช็คขบวนรถไฟ
สามารถทำในแอพพลิเคชั่นมือถือและเว็บได้ โดยเช็คจากเว็บ enquiry.indianrail.gov.in สามารถจองตั๋วรถไฟในนี้ได้เลย แค่ใส่ขบวนรถไฟของเราจะรู้ว่ารถไฟอยู่ที่ไหน ต้องเล่าก่อนว่ารถไฟอินเดียไม่ใช่รถไฟที่ตรงเวลา บางครั้งมาเร็วกว่าเวลาและช้ากว่าเวลาเยอะมากก ถ้าคิดจะขึ้นรถไฟอินเดียต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆ อย่างน้อยสองสามชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ โชคดีว่าคราวนี้รถไฟมาไม่ค่อยเลท แต่ถึงสถานที่ก่อนเวลาก็มี ถ้าสถานที่ๆเราจะลงไม่ใช่สถานีปลายทาง ควรตื่นก่อนซักชั่วโมงเผื่อไว้เพราะเราเกือบตกรถเพราะไม่ตื่นกันมาแล้วจ้าา ใครใช้ให้ถึงก่อนนน
การเดินทางเมืองแรกของเราก็ได้จบลงแล้วเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่ไจปูร์ เข้าเมืองใหญ่ผจญภัยกันต่อไป ติดตามได้ในบลอคหน้านะจ๊ะ
Your mode of telling the whole thing in this post is truly nice, every one can without difficulty understand it, Thanks a lot.| а
Wow, awesome blog format! How long have you ever been blogging for? you make running a blog glance easy. The full look of your web site is magnificent, let alone the content material!